คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุทธิ นิชโรจน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,157 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายข้าวโพด และผลของการบอกเลิกสัญญา
ตามสัญญาซื้อขายข้าวโพดได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอนตามวันแห่งปฏิทินคือภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ปรากฎว่าในวันที่ 24 พฤษภาคม 2527 ก่อนจะครบกำหนดระยะเวลาโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบทางโทรพิมพ์ข้อความว่า หากข้าวโพดส่วนที่ยังไม่รับมอบตามสัญญาถูกยกเลิกไปจำเลยจะต้องชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 1,033,333.50 บาท กับมีข้อความตอนท้ายว่า การชำระหนี้เต็มจำนวนต้องกระทำภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เท่ากับโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญา แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาเป็นสาระสำคัญ เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ภายในเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดและผิดสัญญา แต่ตามสัญญาไม่ได้ระบุว่าหากจำเลยผิดนัดผิดสัญญา สัญญาซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีดังนั้น ตราบใดที่โจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยยังมีผลผูกพันอยู่ จำเลยมีสิทธิขอชำระหนี้ตามสัญญาได้ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายข้าวโพดเนื่องจากจำเลยผิดสัญญา ระหว่างที่โจทก์ยังไม่บอกเลิกสัญญา จำเลยติดต่อขอรับข้าวโพดจำนวน 10,000 เมตริกตัน จากโจทก์โดยจำเลยเพียงแต่มีหนังสือถึงโจทก์ว่าจำเลยจะส่งเจ้าหน้าที่ของจำเลยและเจ้าหน้าที่ของธนาคารไปตรวจสินค้าที่ไซโล เพื่อจำเลยจะขอเบิกเงินจากธนาคารมาชำระค่าข้าวโพดให้โจทก์เท่านั้นยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ขอชำระราคาข้าวโพดทั้งหมดก่อนที่จำเลยจะมารับมอบข้าวโพดจากโจทก์ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์และฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา เมื่อปรากฎในเวลาต่อมาว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 376/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนทรัพย์สินก่อนล้มละลายโดยไม่สุจริตเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้สิน
การที่จำเลยทำนิติกรรมแลกเปลี่ยนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยซึ่งมีราคาสูงกว่า แลกเปลี่ยนกับที่ดินของผู้คัดค้านซึ่งเป็นที่ดินว่างเปล่าและไม่ติดถนนให้แก่ผู้คัดค้าน ในระยะเวลาสามปีก่อนมีการขอให้ล้มละลาย เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ผู้ร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 114.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 346/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คดีล้มละลาย: การพิจารณาข้อห้ามอุทธรณ์ตามกฎหมายที่ใช้บังคับ ณ วันยื่นอุทธรณ์ และการย้อนสำนวนเพื่อวินิจฉัยสิทธิในการรับชำระหนี้
แม้โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นขอรับชำระหนี้ในส่วนที่ขาดอันมีทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์จำนวน 11,798.96 บาทก็ตาม แต่การพิจารณาว่าคดีใดต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่นั้นต้องพิจารณาตามกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะยื่นอุทธรณ์ เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์ก่อนที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ใช้บังคับจึงต้องพิจารณาตามกฎหมายเดิมก่อนแก้ไข ฉะนั้น เมื่อคดีของโจทก์มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในศาลชั้นต้นเกินสองหมื่นบาท จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 346/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คดีล้มละลาย: การพิจารณาข้อห้ามอุทธรณ์ตามกฎหมายที่ใช้บังคับ ณ ขณะยื่นอุทธรณ์ และการส่งสำนวนกลับเพื่อวินิจฉัยสิทธิในการรับชำระหนี้
ทุนทรัพย์ที่พิพาทในศาลชั้นต้น คือ จำนวนเงินที่โจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้ การพิจารณาว่าคดีใดต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่จะต้องพิจารณาตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการยื่นอุทธรณ์ เมื่อโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นเงินจำนวน 605,830.57 บาทศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้บางส่วนเป็นเงิน590,531.61 บาท โจทก์อุทธรณ์คำสั่งขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้เพิ่มขึ้นอีก11,798.96 บาท คดีนี้จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทในศาลชั้นต้นมีจำนวนเกินกว่าสองหมื่นบาท คดีโจทก์จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 342/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีล้มละลาย พิจารณาจากทรัพย์สินและรายได้ของจำเลย
การที่จำเลยยังมีที่ดินและยังประกอบกิจการโรงพิมพ์อยู่นั้นแสดงว่าจำเลยยังมีทรัพย์สินอยู่มาก และยังประกอบกิจการมีรายได้จึงมีทางขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ส่วนการที่จำเลยไม่เคยเสียภาษีเงินได้นั้น มิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดว่าจำเลยไม่มีรายได้สำหรับเงินฝาก แม้จำเลยจะนำมาฝากก่อนเบิกความ 2 วัน ก็ถือเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่โจทก์อาจบังคับชำระหนี้ได้ แม้จำเลยเป็นหญิงมีสามี ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นสินสมรสจะต้องแบ่งครึ่ง จึงไม่พอชำระหนี้ให้โจทก์นั้น เป็นเรื่องชั้นบังคับคดีที่จะต้องว่ากล่าวกันภายหลัง ยังไม่อาจทราบว่าหนี้ที่จำเลยค้างชำระเมื่อบังคับคดีพอชำระหนี้หรือไม่ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่ควรให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระบุตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานที่ไม่ชัดเจนเพียงพอ ศาลฎีกายืนยกฟ้อง
วันเกิดเหตุเป็นคืนเดือนมืด ผู้เสียหายอ้างว่าจำเสียงของชายร่างเล็กที่สวมหมวกผ้าสีดำคลุมศีรษะและใบหน้าโดยโผล่ ให้เห็นเพียงลูกนัยน์ตาได้ว่าเป็นจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นคนรู้จักและเห็นหน้ามาก่อน ประกอบกับรูปร่างลักษณะของคนพูดก็ตรงกับจำเลยที่ 4 แต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายจำรูปร่างและน้ำเสียง ของจำเลยที่ 4 ได้โดยอาศัยหลักการสังเกตจากอะไร และจำเลยที่ 4 มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากบุคคลทั่วไปอย่างไร เพียงบอกว่ารูปร่างคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็น หรือรูปร่างลักษณะตรงกับจำเลยที่ 4 โดยไม่ทราบว่าที่ว่าคุ้น ๆ นั้นคุ้นเช่นใด และตรงกับรูปร่างของจำเลยที่ 4 ในส่วนไหนแม้จำเลยที่ 4 จะเสนอใช้ค่าเสียหายแต่ก็มิได้ยอมรับว่าเป็นผู้กระทำผิดแต่อย่างใด ทั้งจำเลยที่ 4 เมื่อถูกจับก็ปฏิเสธมาตลอดและไม่ได้หลบหนีไปไหน ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ 4 ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำลองเหตุการณ์อาชญากรรมและการพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานและคำเบิกความของผู้เสียหาย
จำเลยใช้อาวุธมีดจี้บังคับผู้เสียหายเข้าไปในรถยนต์ตู้แล้วผลักผู้เสียหายให้นอนหงายอยู่บนพื้นรถ เอาสก๊อตซ์เทปปิดปากและปิดตา ผู้เสียหายดิ้นใช้มือดึงสก๊อตซ์เทปที่ปิดตาออกและสก๊อตซ์เทปที่ปิดปากหลุดเอง ผู้เสียหายขอร้องไม่ให้จำเลยฆ่า จำเลยรับปากแต่จะนำผู้เสียหายไปด้วย จำเลยนำเชือกไนล่อนมาผูกมือโยงไปที่ขาทั้งสองข้าง เอากุญแจมือมาสวมใส่มือผู้เสียหายไว้นำผ้าเช็ดหน้ามาผูกปากและใช้สก๊อตซ์เทปปิดตาผู้เสียหาย จากนั้นได้ขับรถยนต์ออกไป ผู้เสียหายดิ้นจนกุญแจมือหลุดออก แก้เชือกและเปิดประตูรถจำเลยได้หยุดรถแล้วผู้เสียหายกระโดดรถหนีออกมาได้ ที่เกิดเหตุเป็นอาคารจอดรถของศูนย์สรรพสินค้า แม้เป็นเวลากลางคืนและผู้เสียหายไม่รู้จักจำเลยมาก่อนแต่ที่เกิดเหตุมีไฟฟ้าเปิดอยู่และผู้เสียหายยืนยันว่ามองเห็นกันได้ชัด เชื่อว่าผู้เสียหายมองเห็นจำเลยได้ชัดพอที่จะจำได้ว่าเป็นคนร้าย ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าจำคนร้ายได้เพราะมีโอกาสเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนจึงมีเหตุผลน่าเชื่อและรับฟังได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์ฎีกาในคดีอาญา แม้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ หากศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ
แม้ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ศาลชั้นต้นลงโทษปรับ 100 บาท จะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ และศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยในข้อหาความผิดนี้มาแล้วก็ตาม เมื่อศาลอุทธรณ์ใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาให้ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดดังกล่าวนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาโทษจำคุกสำหรับผู้กระทำความผิดพยายามชิงทรัพย์ โดยคำนึงถึงอายุ ประวัติ และพฤติการณ์แห่งคดี
จำเลยกระทำผิดฐานพยายามชิงทรัพย์โดยใช้ผ้าชุบน้ำยาอีเทอร์ปิดจมูกผู้เสียหาย เพื่อทำให้ผู้เสียหายหมดสติ และผลักผู้เสียหายกระแทกถูกผนังห้องน้ำจนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บท้ายทอยบวม โดยประสงค์จะเอานาฬิกาข้อมือ 1 เรือนและสร้อยข้อมือทองคำหนัก 1 สลึงของผู้เสียหายที่ใส่ติดตัวอยู่ไป แต่มีผู้มาช่วยเหลือ จำเลยจึงเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปไม่ได้ ดังนี้ แม้พฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยจะร้ายแรง แต่ขณะกระทำผิดจำเลยมีอายุเพียง19 ปี ไม่ปรากฏประวัติและความประพฤติที่เสียหาย คงได้ความเพียงว่าจำเลยไม่สนใจศึกษาเล่าเรียน จนสถานศึกษาที่จำเลยศึกษาอยู่ให้จำเลยพ้นสภาพจากการเป็นนักศึกษาเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลย 8 ปี ลดรับสารภาพกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 ปี จึงเหมาะสมแก่รูปคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง – เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,162(2),267 เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 ปี รวมจำคุก 6 ปี ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี คู่ความต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
of 116