พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,157 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1797/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิฟ้องร้องหลังถูกกีดกันสิทธิ การพิพาทเรื่องถนนและภารจำยอม ศาลพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
การที่โจทก์ทำประตูเหล็กปิดกั้นถนนพิพาทไม่ยอมให้จำเลยเข้าออกเว้นแต่จะยอมเสียค่าตอบแทนแก่โจทก์ย่อมทำให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าถูกโจทก์โต้แย้งสิทธิดังนั้นที่จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นขอให้เปิดถนนพิพาทและในระหว่างพิจารณาได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาจึงเป็นการใช้สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แม้ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องแต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งโดยมีความเห็นหลงไปว่าการมีคำสั่งเช่นนั้นมีเหตุผลอันสมควรโดยความผิดหรือเลินเล่อของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา263(1)การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าถนนพิพาทเป็นของโจทก์และมิได้ตกอยู่ในภารจำยอมดังที่โจทก์อ้างก็ไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1797/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปิดกั้นทางเข้าออกและการฟ้องร้อง: การกระทำที่ไม่เป็นการละเมิด
การที่โจทก์ทำประตูเหล็กปิดกั้นถนนพิพาท ไม่ยอมให้จำเลยเข้าออก เว้นแต่จะยอมเสียค่าตอบแทนแก่โจทก์ ย่อมทำให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าถูกโจทก์โต้แย้งสิทธิ ดังนั้นที่จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นขอให้เปิดถนนพิพาทและในระหว่างพิจารณาได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา จึงเป็นการใช้สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ แม้ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง แต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งโดยมีความเห็นหลงไปว่า การมีคำสั่งเช่นนั้นมีเหตุผลอันสมควรโดยความผิดหรือเลินเล่อของจำเลย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 263 (1)การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ถนนพิพาทเป็นของโจทก์และมิได้ตกอยู่ในภาระจำยอมดังที่โจทก์อ้าง ก็ไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงชอบแล้ว
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ถนนพิพาทเป็นของโจทก์และมิได้ตกอยู่ในภาระจำยอมดังที่โจทก์อ้าง ก็ไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1797/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทาง-การปิดกั้นทาง-ละเมิด-สิทธิโดยสุจริต-ภารจำยอม
การที่โจทก์ทำประตูเหล็กปิดกั้นถนนพิพาท ไม่ยอมให้จำเลยเข้าออก เว้นแต่จะยอมเสียค่าตอบแทนแก่โจทก์ ย่อมทำให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าถูกโจทก์โต้แย้งสิทธิ ดังนั้นที่จำเลยยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นขอให้เปิดถนนพิพาทและในระหว่างพิจารณาได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา จึงเป็นการใช้สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แม้ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งโดยมีความเห็นหลงไปว่า การมีคำสั่งเช่นนั้นมีเหตุผลอันสมควรโดยความผิดหรือเลินเล่อของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 263(1)การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1681/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนิติบุคคลต่อความเสียหายจากละเมิดของข้าราชการในการปฏิบัติหน้าที่ตามข้อตกลงร่วม
ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์เมื่อพิเคราะห์ประกอบเอกสารท้ายฟ้องทุกฉบับแล้ว เป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นนิติบุคคลให้ร่วมกันรับผิดในความเสียหายของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการในสังกัดของจำเลยทั้งสาม ฟ้องโจทก์ได้บรรยายฐานะและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทุกฝ่ายโดยแจ้งชัดตามความแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสองแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามเป็นกรมในรัฐบาลต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำไปตามหน้าที่ จึงไม่เป็นการพิพากษานอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246
การออกไปตรวจสอบพิสูจน์ที่ดินพิพาทในเขตป่าไม้ของ ค. พ.และ ส. ล้วนแต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการที่อยู่ภายในขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยทั้งสามตามบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมที่ดินกับกรมป่าไม้ว่าด้วยการตรวจพิสูจน์ที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งเกี่ยวกับเขตป่าไม้ พ.ศ.2524เพื่อตรวจสอบพิสูจน์ว่าที่ดินสมควรออก น.ส.3 ก.ให้ได้หรือไม่ หาใช่เป็นการกระทำในนามของนายอำเภอหรือในนามส่วนตัวไม่ เมื่อบุคคลทั้งสามปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามในฐานะที่เป็นนิติบุคคลที่บุคคลดังกล่าวรับราชการอยู่จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 76 เดิม
การออกไปตรวจสอบพิสูจน์ที่ดินพิพาทในเขตป่าไม้ของ ค. พ.และ ส. ล้วนแต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการที่อยู่ภายในขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยทั้งสามตามบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมที่ดินกับกรมป่าไม้ว่าด้วยการตรวจพิสูจน์ที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งเกี่ยวกับเขตป่าไม้ พ.ศ.2524เพื่อตรวจสอบพิสูจน์ว่าที่ดินสมควรออก น.ส.3 ก.ให้ได้หรือไม่ หาใช่เป็นการกระทำในนามของนายอำเภอหรือในนามส่วนตัวไม่ เมื่อบุคคลทั้งสามปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามในฐานะที่เป็นนิติบุคคลที่บุคคลดังกล่าวรับราชการอยู่จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 76 เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1681/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของหน่วยงานรัฐต่อความเสียหายจากละเมิดของข้าราชการในการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดิน
ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์เมื่อพิเคราะห์ประกอบเอกสารท้ายฟ้องทุกฉบับแล้วเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นนิติบุคคลให้ร่วมกันรับผิดในความเสียหายของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการในสังกัดของจำเลยทั้งสามฟ้องโจทก์ได้บรรยายฐานะและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทุกฝ่ายโดยแจ้งชัดตามความแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองแล้วฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมและที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามเป็นกรมในรัฐบาลต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำไปตามหน้าที่จึงไม่เป็นการพิพากษานอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ประกอบมาตรา246 การออกไปตรวจสอบพิสูจน์ที่ดินพิพาทในเขตป่าไม้ของค.พ. และส. ล้วนแต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการที่อยู่ภายในขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยทั้งสามตามบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมที่ดินกับกรมป่าไม้ว่าด้วยการตรวจพิสูจน์ที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งเกี่ยวกับเขตป่าไม้พ.ศ.2524เพื่อตรวจสอบพิสูจน์ว่าที่ดินสมควรออกน.ส.3ก.ให้ได้หรือไม่หาใช่เป็นการกระทำในนามของนายอำเภอหรือในนามส่วนตัวไม่เมื่อบุคคลทั้งสามปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามในฐานะที่เป็นนิติบุคคลที่บุคคลดังกล่าวรับราชการอยู่จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา76เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1679/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์: การคำนวณค่าทดแทนที่ดินส่วนที่เหลือ, การชำระดอกเบี้ย, และหลักเกณฑ์การประเมินราคา
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530มาตรา21วรรคสามและวรรคสี่กำหนดให้คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นกำหนดเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ส่วนที่เหลือจากการเวนคืนอันราคาลดลงโดยคำนวณตามหลักเกณฑ์วิธีการที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาเป็นเรื่องให้คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นเป็นฝ่ายถือปฏิบัติเมื่อมีกรณีอสังหาริมทรัพย์เหลือจากการเวนคืนอันทำให้ราคาลดลงเกิดขึ้นเพื่อให้การคำนวณราคาเป็นระเบียบแบบแผนเดียวกันมิได้หมายความว่าหากคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นไม่กำหนดราคาที่ลดลงของอสังหาริมทรัพย์เพราะไม่มีพระราชกฤษฎีกาออกมาให้กำหนดราคาแล้วผู้ที่ถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์แต่เพียงบางส่วนไม่สามารถจะเรียกเงินค่าทดแทนได้ การที่โจทก์อ้างว่าที่ดินส่วนที่เหลือมีราคาลดลงและโจทก์ได้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้กำหนดเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นนั้นย่อมหมายถึงการอุทธรณ์เงินค่าทดแทนที่ดินทั้งหมดที่โจทก์ควรได้รับเนื่องจากเหตุการเวนคืนที่ดินของโจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนส่วนที่เหลือจากการเวนคืนได้ ที่ดินโจทก์ส่วนที่เหลือจำนวน351ตารางวา อยู่ด้านในไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะย่อมทำให้โจทก์ใช้ประโยชน์ที่ดินส่วนนี้ไม่ได้เหมือนเดิมจำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินค่าทดแทนแก่โจทก์สำหรับที่ดินส่วนที่เหลือนั้นด้วย ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530มาตรา26วรรคท้ายบัญญัติให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนได้รับดอกเบี้ยใน อัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคาร ออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่ต้องมีการจ่ายหรือวางเงินค่าทดแทนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ10ต่อปีคงที่จึงไม่ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1272/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินที่ถูกอุทิศให้ประชาชนใช้ประโยชน์นานกว่า 30 ปี มีสถานะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ที่ดินของโจทก์มีทางเดินซึ่งชาวบ้านใช้สัญจรไปมานานกว่า30ปีตั้งแต่ใช้ไม้ขอนทอดเดินเปลี่ยนเป็นสะพานไม้และทำเป็นสะพานคอนกรีตโดยเจ้าของที่ดินเดิมมิได้หวงห้ามสงวนสิทธิมิใช่กรณีที่ชาวบ้านใช้ทางเดินโดย ถือวิสาสะ เนื่องจากมีการใช้ขอนไม้ทอดและทำเป็นสะพานไม้แสดงว่าเจ้าของที่ดินเดิมได้อุทิศให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไปแล้วย่อมเป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1304(2) โจทก์ฟ้องว่าที่ดินที่จำเลยใช้สร้างสะพานทางเดินพิพาทเป็นของโจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนจำเลยให้การว่าเจ้าของที่ดินเดิมอุทิศให้เป็นทางสาธารณะประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินที่สร้างสะพานดังกล่าวกว้าง1.5เมตรยาว37.4เมตรเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับทรัพย์พิพาทเดียวกันกับฟ้องเดิมส่วนฟ้องแย้งในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินทั้งสองด้านของที่ดินที่ใช้สร้างทางเดินพิพาทในฟ้องเดิมเป็นที่ดินติดเป็นผืนเดียวกันกับทางเดินพิพาทเท่ากับจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทกว้างยาวกว่าที่โจทก์ระบุมาในฟ้องเดิมเป็นการตั้งสิทธิว่าถูกโจทก์โต้แย้งสิทธิตามฟ้องเดิมโดยโจทก์อ้างว่าที่ดินที่จำเลยฟ้องแย้งในส่วนนี้ก็เป็นของโจทก์ฟ้องแย้งในส่วนนี้มีส่วนสัมพันธ์กับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสามและมาตรา179วรรคท้าย การจดทะเบียนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นอำนาจ หน้าที่ของ เจ้าพนักงาน ไม่ปรากฏว่าบริษัทโจทก์มีหน้าที่ในทางนิติกรรมที่จะต้องดำเนินการศาลจึงไม่อาจบังคับโจทก์จดทะเบียนให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1272/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ใช้สร้างทางเดินสาธารณะ มีความสัมพันธ์กับฟ้องเดิม จึงพิจารณารวมกันได้
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินที่จำเลยใช้สร้างสะพานทางเดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนจำเลยให้การว่าที่ดินดังกล่าวเจ้าของที่ดินเดิมอุทิศให้เป็นทางสาธารณะประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าที่ดินที่จำเลยใช้สร้างสะพานทางเดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินที่สร้างสะพานทางเดินพิพาทกว้าง1.5เมตรยาวประมาณ37.4เมตรเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับทรัพย์พิพาทเดียวกันกับฟ้องเดิมฟ้องแย้งส่วนนี้ย่อมเกี่ยวกับฟ้องเดิม ฟ้องแย้งในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินทั้งสองด้านของที่ดินที่ใช้สร้างทางเดินพิพาทในฟ้องเดิมนั้นเป็นที่ดินติดเป็นผืนเดียวกันกับทางเดินพิพาทเท่ากับจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทกว้างยาวกว่าที่โจทก์ระบุมาในฟ้องเดิมและเป็นการตั้งสิทธิว่าถูกโจทก์โต้แย้งสิทธิตามฟ้องเดิมโดยโจทก์อ้างว่าที่ดินที่จำเลยฟ้องแย้งในส่วนนี้ก็เป็นของโจทก์ถือว่าฟ้องแย้งในส่วนนี้มีส่วนสัมพันธ์กับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ฟ้องแย้งในส่วนจึงเกี่ยวกับฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1272/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตฟ้องแย้งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท: การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างฟ้องเดิมและฟ้องแย้งเพื่อชี้ขาดสิทธิในที่ดิน
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินที่จำเลยใช้สร้างสะพานทางเดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอน จำเลยให้การว่าที่ดินดังกล่าวเจ้าของที่ดินเดิมอุทิศให้เป็นทางสาธารณะ ประเด็นแห่งคดีเดิมจึงมีว่า ที่ดินที่จำเลยใช้สร้างสะพานทางเดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินที่สร้างสะพานทางเดินพิพาทกว้าง 1.5 เมตรยาวประมาณ 37.4 เมตร เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับทรัพย์พิพาทเดียวกันกับฟ้องเดิม ฟ้องแย้งส่วนนี้ย่อมเกี่ยวกับฟ้องเดิม
ฟ้องแย้งในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินทั้งสองด้านของที่ดินที่ใช้สร้างทางเดินพิพาทในฟ้องเดิมนั้น เป็นที่ดินติดเป็นผืนเดียวกันกับทางเดินพิพาท เท่ากับจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทกว้างยาวกว่าที่โจทก์ระบุมาในฟ้องเดิม และเป็นการตั้งสิทธิว่าถูกโจทก์โต้แย้งสิทธิตามฟ้องเดิมโดยโจทก์อ้างว่าที่ดินที่จำเลยฟ้องแย้งในส่วนนี้ก็เป็นของโจทก์ ถือได้ว่าฟ้องแย้งในส่วนนี้มีส่วนสัมพันธ์กับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ฟ้องแย้งในส่วนนี้จึงเกี่ยวกับฟ้องเดิม
ฟ้องแย้งในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินทั้งสองด้านของที่ดินที่ใช้สร้างทางเดินพิพาทในฟ้องเดิมนั้น เป็นที่ดินติดเป็นผืนเดียวกันกับทางเดินพิพาท เท่ากับจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทกว้างยาวกว่าที่โจทก์ระบุมาในฟ้องเดิม และเป็นการตั้งสิทธิว่าถูกโจทก์โต้แย้งสิทธิตามฟ้องเดิมโดยโจทก์อ้างว่าที่ดินที่จำเลยฟ้องแย้งในส่วนนี้ก็เป็นของโจทก์ ถือได้ว่าฟ้องแย้งในส่วนนี้มีส่วนสัมพันธ์กับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ฟ้องแย้งในส่วนนี้จึงเกี่ยวกับฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1264/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดิน: พิพาทระหว่างเจ้าของที่ดินกับที่สาธารณสมบัติ, การคำนวณทุนทรัพย์ในคดี
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเฉพาะส่วนที่ออกทับที่ของโจทก์จำนวน 45 ไร่ และเรียกค่าเสียหายอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ได้รับยกให้จากบิดา ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันโจทก์มิใช่เจ้าของที่ดินดังกล่าว คดีจึงมีประเด็นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท หาใช่มีทุนทรัพย์เพียงเท่าค่าเสียหายจำนวน 20,000 บาท จึงไม่ต้องห้ามโจทก์อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ.มาตรา 224