พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,157 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากสัญญาซื้อขายที่ดิน: โจทก์ต้องพิสูจน์จำนวนเงินที่ขาดประโยชน์จากการไม่จดทะเบียน
การฟ้องให้ใช้เงินแก่โจทก์ตามราคาที่ดินขณะฟ้อง ส่วนที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่ดินที่ตกลงทำสัญญาจะซื้อขายกันนี้เป็นเงินที่โจทก์ขาดประโยชน์เนื่องจากการที่จำเลยไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินให้เป็นของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย ถือเป็นการเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา แม้จำเลยไม่ได้ให้การโต้แย้งจำนวนเงินค่าเสียหายดังกล่าว โจทก์ผู้กล่าวอ้างก็มีหน้าที่นำสืบถึงจำนวนค่าเสียหายของโจทก์ และศาลมีอำนาจพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้ตามที่สมควรดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 280,000 บาท จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของบุคคลภายนอกในการคัดค้านการบังคับคดีและการคุ้มครองประโยชน์เมื่อถูกกระทบ
คดีก่อนที่จำเลยที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ผูกพันโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก แต่การที่โจทก์ขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยห้ามมิให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายฉบับพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาในคดีก่อน ย่อมมีผลเป็นการให้งดการบังคับคดีในคดีก่อน ซึ่งคดีได้ถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้หากจำเลยที่ 2 บังคับคดีให้เป็นที่เสียหายแก่โจทก์อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ต่อไป โจทก์ไม่มีสิทธิมายื่นขอใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเพื่อให้มีผลห้ามมิให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการบังคับคดีในคดีดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อขายที่ดินฉบับพิพาทที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 หากจำเลยที่ 2 บังคับคดีในคดีก่อนรับโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายฉบับพิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้วโอนต่อไปยังบุคคลภายนอก อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ได้ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยห้ามมิให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นได้ แม้โจทก์จะเป็นสามีของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีสิทธิขอกันส่วนของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 ก็ตาม แต่ก็ไม่มีบทกฎหมายใดบังคับให้โจทก์จำต้องใช้สิทธิขอกันส่วนแต่อย่างเดียว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อขายที่ดินฉบับพิพาทที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 หากจำเลยที่ 2 บังคับคดีในคดีก่อนรับโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายฉบับพิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้วโอนต่อไปยังบุคคลภายนอก อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ได้ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยห้ามมิให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นได้ แม้โจทก์จะเป็นสามีของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีสิทธิขอกันส่วนของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 ก็ตาม แต่ก็ไม่มีบทกฎหมายใดบังคับให้โจทก์จำต้องใช้สิทธิขอกันส่วนแต่อย่างเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวของบุคคลภายนอกคดีเกี่ยวกับการบังคับคดีและการโอนที่ดิน
แม้คดีที่จำเลยที่2ฟ้องจำเลยที่1จะไม่ผูกพันโจทก์ในคดีนี้แต่การที่โจทก์ขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยห้ามมิให้จำเลยที่1โอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายฉบับพิพาทให้แก่จำเลยที่2ย่อมมีผลเป็นการให้ งดการบังคับคดีในคดีซึ่งได้ถึงที่สุดแล้วจำเลยที่2ซึ่งเป็น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้หากจำเลยที่2บังคับคดีให้เป็นที่เสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีอย่างไรก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่2ต่อไปโจทก์หามีสิทธิมายื่นขอใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเพื่อให้มีผลห้ามมิให้จำเลยที่2ดำเนินการบังคับคดีในคดีดังกล่าวไม่ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อขายที่ดินฉบับพิพาทที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่2หากจำเลยที่2บังคับคดีรับโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายจากจำเลยที่1แล้วโอนต่อไปยัง บุคคลภายนอกอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ได้โจทก์จึงมีสิทธิขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยห้ามมิให้จำเลยที่2โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นแม้โจทก์จะเป็นสามีของจำเลยที่1ซึ่งมีสิทธิขอกันส่วนของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา287ก็ตามแต่ก็หามีบทกฎหมายใดบังคับให้โจทก์จำต้องใช้สิทธิ ขอกันส่วนแต่อย่างเดียวไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการคุ้มครองประโยชน์ของบุคคลภายนอกคดี การห้ามโอนที่ดินเพื่อป้องกันความเสียหาย
คดีก่อนที่จำเลยที่2ฟ้องจำเลยที่1ไม่ผูกพันโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแต่การที่โจทก์ขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยห้ามมิให้จำเลยที่1โอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายฉบับพิพาทให้แก่จำเลยที่2ตามคำพิพากษาในคดีก่อนย่อมมีผลเป็นการให้งดการบังคับคดีในคดีก่อนซึ่งคดีได้ถึงที่สุดแล้วจำเลยที่2ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้หากจำเลยที่2บังคับคดีให้เป็นที่เสียหายแก่โจทก์อย่างไรก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่2ต่อไปโจทก์ไม่มีสิทธิยื่นขอใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเพื่อให้มีผลห้ามมิให้จำเลยที่2ดำเนินการบังคับคดีในคดีดังกล่าว โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อขายที่ดินฉบับพิพาทที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่2หากจำเลยที่2บังคับคดีในคดีก่อนรับโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายฉบับพิพาทจากจำเลยที่1แล้วโอนต่อไปยังบุคคลภายนอกอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ได้โจทก์จึงมีสิทธิขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยห้ามมิให้จำเลยที่2โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นได้แม้โจทก์จะเป็นสามีของจำเลยที่1ซึ่งมีสิทธิขอกันส่วนของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา287ก็ตามแต่ก็ไม่มีบทกฎหมายใดบังคับให้โจทก์จำต้องใช้สิทธิขอกันส่วนแต่อย่างเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจตัวแทนเพียงพอต่อการต่อสู้คดี การเสนอเอกสารมอบอำนาจไม่ใช่สาระสำคัญ
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยได้มอบอำนาจให้ อ.เป็นตัวแทนในการขายที่ดินของจำเลยและ อ.ในฐานะตัวแทนของจำเลยได้ตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้า เป็นการชัดเจนเพียงพอแก่การที่จำเลยจะต่อสู้คดีโจทก์ได้แล้ว การที่โจทก์ไม่ได้เสนอใบมอบอำนาจมาด้วย ก็หาทำให้จำเลยไม่เข้าใจสภาพแห่งข้อหา เพราะจำเลยสามารถให้การต่อสู้คดีได้ว่าตนมอบอำนาจให้ อ.ทำการได้เพียงใด ซึ่งอาจนำสืบรายละเอียดได้ชั้นพิจารณา ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องคดีนายหน้าชัดเจนถึงนิติสัมพันธ์และข้อตกลงมอบอำนาจ แม้ไม่มีเอกสารแสดงใบมอบอำนาจก็ไม่ถือว่าฟ้องเคลือบคลุม
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยได้มอบอำนาจให้อ. เป็นตัวแทนในการขายที่ดินของจำเลยและอ.ในฐานะตัวแทนของจำเลยได้ตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าเป็นการชัดเจนเพียงพอแก่การที่จำเลยจะต่อสู้คดีโจทก์ได้แล้วการที่โจทก์ไม่ได้เสนอใบมอบอำนาจมาด้วยก็หาทำให้จำเลยไม่เข้าใจสภาพแห่งข้อหาเพราะจำเลยสามารถให้การต่อสู้คดีได้ว่าตนมอบอำนาจให้อ.ทำการได้เพียงใดซึ่งอาจนำสืบรายละเอียดได้ชั้นพิจารณาไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 169/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งต้องแสดงข้อหาชัดเจนและระบุรายละเอียดการกระทำผิดเพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาเข้าใจได้
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯมาตรา 79 ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม คำร้องที่ผู้ร้องขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่จึงอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ด้วยเมื่อมิได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่คะแนนและกรรมการตรวจคะแนนผู้ใดประจำหน่วยเลือกตั้งหน่วยใดกระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมายโดยอ่านบัตรเลือกตั้งให้ผิดไปจากความจริงหรืออ่านบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนเลือกตั้งให้ผู้ร้องแต่อ่านเป็นให้ส. รวมทั้งบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนเลือกตั้งให้ผู้ร้องแต่อ่านให้เป็นบัตรเสียมีจำนวนเท่าใด คะแนนเลือกตั้งที่กรอกในใบรายงานไม่ตรงกับคะแนนเลือกตั้งในกระดานดำและหีบบัตรเลือกตั้งเป็นจำนวนเท่าใด มีการนำบัตรลงคะแนนเลือกตั้ง ของผู้ที่ไม่ได้มาใช้สิทธิมาใช้ลงคะแนนเลือกตั้งเป็นจำนวนเท่าใด รวมทั้งนำบัตรเลือกตั้งที่เสียมานับเป็นคะแนนเลือกตั้งของ ส. จำนวนเท่าใด และเหตุเกิดที่หน่วยเลือกตั้งใดบ้าง คำร้องจึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาพอที่จะให้ผู้คัดค้านทั้งสามเข้าใจได้ดีเป็นคำร้องเคลือบคลุม การเปิดหีบบัตรเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนเลือกตั้งใหม่เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีร้องคัดค้านว่าการเลือกตั้งเป็นไปโดยมิชอบเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่เมื่อคำร้องของผู้ร้องคัดค้านว่าการเลือกตั้งเป็นไปโดยมิชอบนั้นเคลือบคลุมแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะมีคำสั่งให้เปิดหีบบัตรเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนเลือกตั้งใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการขอคืนภาษีของโรงงานที่ไม่เข้าสู่ระบบการแบ่งปันผลประโยชน์อ้อยและน้ำตาล
แม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยปฏิเสธที่จะรับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์มาดำเนินการขอคืนภาษีการค้าให้โจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่แต่การที่ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นใหม่ในการพิพากษาคดีว่าจำเลยมีหน้าที่ขอคืนภาษีการค้าจากกรมสรรพากรแทนโจทก์หรือไม่ก็เป็นประเด็นอย่างเดียวกันกับที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ดังกล่าวเพราะหากวินิจฉัยว่าจำเลยมีหน้าที่หรือไม่มีหน้าที่ขอคืนภาษีการค้าจากกรมสรรพากรแทนโจทก์แล้วการที่จำเลยปฏิเสธที่จะรับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์มาดำเนินการขอคืนภาษีการค้าให้โจทก์ก็จะเป็นการไม่ชอบหรือชอบด้วยกฎหมายนั่นเองหาเป็นการพิพากษานอกประเด็นข้อพิพาทไม่ กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจำเลยมีคณะกรรมการบริหารกองทุนเป็นผู้บริหารตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทรายพ.ศ.2527มาตรา25(3)และ(4)กำหนดหน้าที่คณะกรรมการบริหารกองทุนไว้ว่าปฏิบัติหน้าที่อื่นตามระเบียบที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดและปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนดหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมายเมื่อไม่ปรากฎว่าคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดระเบียบให้จำเลยเป็นผู้ขอรับคืนภาษีการค้าแทนโจทก์และคณะรัฐมนตรีก็มิได้มอบหมายให้จำเลยกระทำการแทนโจทก์อีกทั้งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นภาษีการค้า(ฉบับที่183)พ.ศ.2530พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีการค้า(ฉบับที่204)พ.ศ.2532และ(ฉบับที่211)พ.ศ.2533ก็มิได้กำหนดให้จำเลยมีหน้าที่ขอรับคืนภาษีการค้าแทนโจทก์จำเลยจึงปฏิเสธที่จะรับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์มาดำเนินการขอคืนภาษีการค้าให้โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายในการดำเนินการขอคืนภาษีการค้าแทนผู้อื่น
แม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยปฏิเสธที่จะรับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์มาดำเนินการขอคืนภาษีการค้าให้โจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่การที่ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นใหม่ในการพิพากษาคดีว่าจำเลยมีหน้าที่ขอคืนภาษีการค้าจากกรมสรรพากรแทนโจทก์หรือไม่ ก็เป็นประเด็นอย่างเดียวกันกับที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ดังกล่าวเพราะหากวินิจฉัยว่าจำเลยมีหน้าที่หรือไม่มีหน้าที่ขอคืนภาษีการค้าจากกรมสรรพากรแทนโจทก์แล้ว การที่จำเลยปฏิเสธที่จะรับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์มาดำเนินการขอคืนภาษีการค้าให้โจทก์ก็จะเป็นการไม่ชอบหรือชอบด้วยกฎหมายนั่นเอง หาเป็นการพิพากษานอกประเด็นข้อพิพาทไม่
กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจำเลยมีคณะกรรมการบริหารกองทุนเป็นผู้บริหาร ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ.2527 มาตรา25 (3) และ (4) กำหนดหน้าที่คณะกรรมการบริหารกองทุนไว้ว่า ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนด และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย เมื่อไม่ปรากฏว่าคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดระเบียบให้จำเลยเป็นผู้ขอรับคืนภาษีการค้าแทนโจทก์ และคณะรัฐมนตรีก็มิได้มอบหมายให้จำเลยกระทำการแทนโจทก์ อีกทั้งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 183)พ.ศ.2530 พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีการค้า (ฉบับที่ 204) พ.ศ.2532 และ (ฉบับที่ 211) พ.ศ.2533 ก็มิได้กำหนดให้จำเลยมีหน้าที่ขอรับคืนภาษีการค้าแทนโจทก์ จำเลยจึงปฏิเสธที่จะรับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์มาดำเนินการขอคืนภาษีการค้าให้โจทก์ได้
กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจำเลยมีคณะกรรมการบริหารกองทุนเป็นผู้บริหาร ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ.2527 มาตรา25 (3) และ (4) กำหนดหน้าที่คณะกรรมการบริหารกองทุนไว้ว่า ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนด และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย เมื่อไม่ปรากฏว่าคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดระเบียบให้จำเลยเป็นผู้ขอรับคืนภาษีการค้าแทนโจทก์ และคณะรัฐมนตรีก็มิได้มอบหมายให้จำเลยกระทำการแทนโจทก์ อีกทั้งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 183)พ.ศ.2530 พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีการค้า (ฉบับที่ 204) พ.ศ.2532 และ (ฉบับที่ 211) พ.ศ.2533 ก็มิได้กำหนดให้จำเลยมีหน้าที่ขอรับคืนภาษีการค้าแทนโจทก์ จำเลยจึงปฏิเสธที่จะรับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์มาดำเนินการขอคืนภาษีการค้าให้โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดสัญญาประกันตัว: ศาลฎีกาวินิจฉัยเองได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน
โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นคู่สัญญาแต่ฟ้องให้รับผิดในฐานะเป็นกรมซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3ปฏิบัติหน้าที่แทนจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ หากศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเป็นคุณแก่โจทก์แล้ว ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจที่จะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประกันหรือไม่ต่อไปเสียเองหรือส่งสำนวนคืนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นสาระแก่คดีที่ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย
โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยทั้งสามไม่มีอำนาจริบเงินประกันตัวผู้ต้องหาของโจทก์ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว ขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิพากษา ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ล่าช้ามามากแล้ว เห็นสมควรที่จะได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวโดยไม่ส่งสำนวนคืนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา247
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทราบวันนัดส่งตัวผู้ต้องหาแล้วผิดนัด โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาประกัน ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยทั้งสาม
โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยทั้งสามไม่มีอำนาจริบเงินประกันตัวผู้ต้องหาของโจทก์ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว ขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิพากษา ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ล่าช้ามามากแล้ว เห็นสมควรที่จะได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวโดยไม่ส่งสำนวนคืนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา247
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทราบวันนัดส่งตัวผู้ต้องหาแล้วผิดนัด โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาประกัน ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยทั้งสาม