คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุทธิ นิชโรจน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,157 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของจำเลยจากการริบเงินประกันตัวผู้ต้องหา: ประเด็นผิดสัญญาประกันและอำนาจการกระทำ
โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยที่1ในฐานะที่เป็นคู่สัญญาแต่ฟ้องให้รับผิดในฐานะเป็นกรมซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยมีจำเลยที่2และที่3ปฏิบัติหน้าที่แทนจำเลยที่1ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์หากศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเป็นคุณแก่โจทก์แล้วศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจที่จะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประกันหรือไม่ต่อไปเสียเองหรือส่งสำนวนคืนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(1)อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นสาระแก่คดีที่ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยทั้งสามไม่มีอำนาจริบเงินประกันตัวผู้ต้องหาของโจทก์แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ล่าช้ามามากแล้วเห็นสมควรที่จะได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวโดยไม่ส่งสำนวนคืนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(1)ประกอบมาตรา247 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทราบวันนัดส่งตัวผู้ต้องหาแล้วผิดนัดโจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาประกันไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยทั้งสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์ด้วยสิ่งเทียมอาวุธปืน: การรับฟังพยานหลักฐาน การกระทำความผิด และการกำหนดโทษ
คำเบิกความของผู้เสียหายที่ยืนยันในเบื้องต้นว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ชิงเอาสร้อยคอของผู้เสียหายไปโดยมีสิบตำรวจเอก ป.ผู้จับจำเลยเบิกความสนับสนุนว่าชั้นจับกุมผู้เสียหายได้แจ้งความดังกล่าวให้พยานทราบอีกทั้งผู้เสียหายยังให้การดังกล่าวต่อพนักงานสอบสวนโดยมีสาระสำคัญสอดคล้องกับคำเบิกความซึ่งเป็นการกระทำทันทีหลังจากเกิดเหตุแล้วใหม่ๆโดยไม่มีโอกาสคิดไตร่ตรองเพื่อปรักปรำให้ร้ายจำเลยทั้งการที่ผู้เสียหายลงชื่อรับรองไว้ในบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายกับบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายได้คืนแสดงว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ยึดสร้อยคอของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยชิงเอาไปได้จากจำเลยจริงและให้ผู้เสียหายรับคืนไปโดยเหตุที่สิบตำรวจเอก ป. และพันตำรวจตรี ศ. พนักงานสอบสวนได้ปฏิบัติการไปตามหน้าที่ไม่มีเหตุให้ต้องทำบันทึกตามเอกสารที่กล่าวมาเพื่อกลั่นแกล้งจำเลยพยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังลงโทษจำเลยได้แต่ ปืนไฟแช็กที่จำเลยได้ใช้จี้ผู้เสียหายนั้นเป็น สิ่งเทียมอาวุธปืน มิใช่ อาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯจึงไม่ต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา340ตรี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: ผู้ครอบครองต้องพิสูจน์สิทธิโดยชอบก่อนอ้างสิทธิเหนือรัฐ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง ไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์เพราะเป็นที่ดินสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก็ไม่ได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐาน เพราะโจทก์จะยกเอาการครอบครองขึ้นยันต่อรัฐได้ต่อเมื่อโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทมาโดยชอบตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด และกฎหมายบัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิครอบครองนั้นไว้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์สิทธิในที่ดิน: โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าที่ดินเป็นของตน ไม่ใช่ที่ดินสาธารณะ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดิน ขอให้ศาลสั่งแสดงว่าเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ เท่ากับอ้างว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองหรืออีกนัยหนึ่งที่ดินเป็นของโจทก์ เมื่อจำเลยให้การว่าที่ดินไม่ใช่ของโจทก์เพราะเป็นที่ดินสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ที่ดินดังกล่าวไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ดังนั้น โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบ ให้ได้ความว่าที่ดินเป็นของโจทก์ และโดยที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โจทก์ได้ครอบครองที่ดินอยู่ก็ไม่ได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1369 เพราะโจทก์จะยกเอาการครอบครองขึ้นยันต่อรัฐได้ต่อเมื่อโจทก์ได้สิทธิครอบครองมาโดยชอบตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด และกฎหมายบัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิครอบครองนั้นไว้ด้วย โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ที่ดินสาธารณะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์สิทธิครอบครองที่ดิน: ผู้ฟ้องมีหน้าที่พิสูจน์ความเป็นเจ้าของเมื่อถูกโต้แย้งว่าเป็นที่สาธารณะ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินโจทก์มีสิทธิครอบครองไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์เพราะเป็นที่ดินสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันโจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และโดยที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลสาธารณสมบัติของแผ่นดินแม้โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก็ไม่ได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐาน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9373/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นพยานหลักฐานล่าช้าและการเลิกสัญญาเช่าซื้อ
แม้การที่โจทก์ไม่ได้ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจให้ทำสัญญาเช่าซื้อและหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีซึ่งเป็นพยานเอกสารต่อศาลชั้นต้นในวันชี้สองสถานเพื่อให้จำเลยทั้งสองตรวจสอบ เป็นการฝ่าฝืน ป.วิ.พ.มาตรา 183วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่ตามมาตรา 183 ทวิ วรรคสอง ถ้าศาลเห็นว่าพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบ ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจภายหลังได้ และคดีได้ความว่าหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ได้อ้างเป็นพยานหลักฐานนี้เป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญเรื่องอำนาจฟ้องในคดี และต่อมาโจทก์ได้ยื่นหนังสือมอบอำนาจในวันเดียวกันกับวันที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานตามคำสั่งของศาลชั้นต้นก่อนวันสืบพยานนัดแรกเป็นเวลากว่า 1 เดือน จำเลยทั้งสองมีโอกาสตรวจสอบเอกสารดังกล่าวก่อนวันสืบพยานได้อยู่แล้ว ดังนี้ ที่โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจต่อศาลในวันชี้สองสถานนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบจำเลยทั้งสองแต่ประการใด ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจและศาลล่างทั้งสองรับฟังต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์นำสืบเป็นพยานหลักฐานมานั้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
สัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด...ฯลฯ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีโดยเจ้าของไม่ต้องบอกกล่าวก่อน...ฯลฯ เป็นสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนใช้บังคับกันได้ จำเลยที่ 1ค้างชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลาหลายงวด จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อตามข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันทันทีโดยโจทก์มิต้องบอกกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9373/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจฟ้องคดี และสัญญาเช่าซื้อที่ระบุการเลิกสัญญาเมื่อผิดนัดชำระ
แม้การที่โจทก์ไม่ได้ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจให้ทำสัญญาเช่าซื้อและหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีซึ่งเป็นพยานเอกสารต่อศาลชั้นต้นในวันชี้สองสถานเพื่อให้จำเลยทั้งสองตรวจสอบ เป็นฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 183 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่ตามมาตรา 183 ทวิ วรรคสองถ้าศาลเห็นว่าพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับมอบอำนาจภายหลังได้ และคดีได้ความว่าหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ได้อ้างเป็นพยานหลักฐานนี้เป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญอำนาจฟ้องในคดี และต่อมาโจทก์ได้ยื่นหนังสือมอบอำนาจในวันเดียวกันกับวันที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานตามคำสั่งของศาลชั้นต้นก่อนวันสืบพยานนัดแรกเป็นเวลากว่า1 เดือน จำเลยทั้งสองมีโอกาสตรวจสอบเอกสารดังกล่าวก่อนวันสืบพยานได้อยู่แล้ว ดังนี้ ที่โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจต่อศาลในวันชี้สองสถานนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบจำเลยทั้งสองแต่ประการใด ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจและศาลล่างทั้งสองรับฟังต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์นำสืบเป็นพยานหลักฐานมานั้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว สัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่ง งวดใด ฯลฯ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีโดยเจ้าของไม่ต้องเบิกกล่าวก่อน ฯลฯ เป็นสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนใช้บังคับกันได้ จำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าเช่าซื้อเป็นหลายงวดจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อตามข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันทันทีโดยโจทก์มิต้องบอกกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9340/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากละเมิดของข้าราชการในสังกัด และสิทธิไล่เบี้ยของนิติบุคคล
จำเลยให้การว่า จำเลยขอปฏิเสธฟ้องของโจทก์ว่า การฟ้องคดีของพันตำรวจเอก ร. เป็นการสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์โดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องผูกพันกับคำพิพากษาท้ายฟ้องโจทก์ เมื่อการฟ้องของโจทก์ไม่สุจริตโจทก์จึงหามีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยไม่ ดังนี้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่มีข้อความตอนหนึ่งตอนใดได้กล่าวถึงเหตุที่จำเลยได้กล่าวอ้างมาเลยว่า ที่พันตำรวจเอก ร. ฟ้องโจทก์และจำเลยกับพวกนั้น พันตำรวจเอก ร. ได้ร่วมกับโจทก์กระทำการอย่างใดอันเป็นการสมรู้ร่วมคิดกันนำคดีดังกล่าวมาฟ้องเพื่อให้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้รับผิดเป็นคดีนี้ซึ่งเป็นการฟ้องคดีโดยไม่สุจริต จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวเพื่อสนับสนุนคำให้การของจำเลย เมื่อคำให้การของจำเลยไม่ชัดแจ้งจึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องนำสืบ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย การที่โจทก์และจำเลยถูกพันตำรวจเอก ร. เป็นโจทก์ฟ้องให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องจากการที่จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อทำให้พันตำรวจเอก ร. เสียหาย และคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยถึงที่สุดฟังว่าเหตุเกิดจากการปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยซึ่งได้กระทำไปในฐานะผู้แทนโจทก์และพิพากษาให้โจทก์และจำเลยร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่พันตำรวจเอก ร. คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคหนึ่ง คดีนี้จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อพันตำรวจเอก ร. ในขณะจำเลยปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล เมื่อโจทก์ชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาคดีก่อนแก่พันตำรวจเอก ร. แล้วย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 76

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9340/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไล่เบี้ยค่าเสียหายจากข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ประมาทเลินเล่อในฐานะผู้แทนของหน่วยงาน
จำเลยให้การว่าจำเลยขอปฏิเสธฟ้องของโจทก์ว่าการฟ้องคดีของพันตำรวจเอกร.เป็นการสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์โดยตรงจำเลยจึงไม่ต้องผูกพันกับคำพิพากษาท้ายฟ้องโจทก์เมื่อการฟ้องของโจทก์ไม่สุจริตโจทก์จึงหามีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยไม่ดังนี้คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่มีข้อความตอนหนึ่งตอนใดได้กล่าวถึงเหตุที่จำเลยได้กล่าวอ้างมาเลยว่าที่พันตำรวจเอกร.ฟ้องโจทก์และจำเลยกับพวกนั้นพันตำรวจเอกร. ได้ร่วมกับโจทก์กระทำการอย่างใดอันเป็นการสมรู้ร่วมคิดกันนำคดีดังกล่าวมาฟ้องเพื่อให้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้รับผิดเป็นคดีนี้ซึ่งเป็นการฟ้องคดีโดยไม่สุจริตจำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวเพื่อสนับสนุนคำให้การของจำเลยเมื่อคำให้การของจำเลยไม่ชัดแจ้งจึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องนำสืบศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย การที่โจทก์และจำเลยถูกพันตำรวจเอกร.เป็นโจทก์ฟ้องให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องจากการที่จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อทำให้พันตำรวจเอกร.เสียหายและคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยถึงที่สุดฟังว่าเหตุเกิดจากการปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยซึ่งได้กระทำไปในฐานะผู้แทนโจทก์และพิพากษาให้โจทก์และจำเลยร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่พันตำรวจเอกร. คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคหนึ่งคดีนี้จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อพันตำรวจเอกร.ในขณะจำเลยปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลเมื่อโจทก์ชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาคดีก่อนแก่พันตำรวจเอกร.แล้วย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา76.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9255/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและการผิดนัด
การที่สัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ผ่อนชำระเงินเดือนละ 100,000 บาท โดยวิธีนำมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไปภายในวันสิ้นเดือนของทุกเดือน หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดเป็นการกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อมิได้วางเงินตามกำหนดถือว่าผิดนัด
of 116