คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุทธิ นิชโรจน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,157 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5464/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อ แม้ไม่ได้ระบุชื่อคู่สัญญาครบถ้วน ศาลยังถือเป็นหลักฐานผูกพันได้ หากมีเจตนาเข้าค้ำประกันชัดเจน
สัญญาค้ำประกันระบุชื่อจำเลยที่2เป็นผู้ค้ำประกันมีข้อความครบถ้วนแสดงว่าเป็นการค้ำประกันการเช่าซื้อโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมแม้จะมิได้เติมชื่อบริษัทโจทก์และจำเลยที่1ลงในช่องว่างที่เว้นไว้ แต่สัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นแบบพิมพ์อยู่ในกระดาษแผ่นเดียวกับสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์ผู้เช่าซื้อและจำเลยที่1ผู้เช่าซื้อเพียงแต่อยู่ด้านหลังของสัญญาเช่าซื้อและจำเลยที่2ก็เบิกความยอมรับว่าได้ลงชื่อในสัญญาค้ำประกันดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่2ตกลงเข้าค้ำประกันหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่1ทำไว้ต่อโจทก์โจทก์จึงมีฐานะเป็นคู่สัญญาและเจ้าหนี้ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่2ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวได้ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับตัวจำเลยที่2ว่าจำเลยที่2ได้ทำสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อที่จำเลยที่1ทำไว้ต่อโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องต่อมาจำเลยที่1ผิดสัญญาเช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเสียหายจำเลยที่2จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่1ด้วยคำฟ้องโจทก์จึงแจ้งชัดพอที่จำเลยที่2จะเข้าใจและต่อสู้คดีได้แม้สัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องจะมิได้ระบุชื่อโจทก์และจำเลยที่1ก็หาทำให้เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5460/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่เปิดเผยก่อนวันสืบพยาน และประเด็นความสมบูรณ์ของสัญญาซื้อขาย
จำเลยไม่ได้ส่งสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย ล.1ให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน เป็นการฝ่าฝืน ป.วิ.พ.มาตรา 90 แต่เมื่อศาลเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารดังกล่าวได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2)
โจทก์ฎีกาว่า หนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย ล.1 ไม่ได้จดทะเบียนจึงมีลักษณะเป็นใบรับเงินเท่านั้น ซึ่งจะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ เป็นข้อที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแต่แรก ทั้งไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเท่ากับวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์นั่นเอง คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงไม่นอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5333/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเพโมลีนหลังประกาศเปลี่ยนประเภทวัตถุออกฤทธิ์ และการใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ที่เป็นคุณต่อจำเลย
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 58(พ.ศ. 2532)เรื่องเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์ ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ย่อมมีผลบังคับเช่นกฎหมาย จำเลยครอบครองเพโมลีน โดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวนเดียวกับที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่ต้องปรับบทลงโทษในความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก การมีเพโมลีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย มิใช่เป็นความผิดในตัวเอง แต่เป็นความผิดเพราะมีประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งแต่เดิมจัดอยู่ในวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้ขายได้ตามสภาพและพฤติการณ์จำเลยอาจไม่รู้ว่าการมีเพโมลีนไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย และหากจำเลยสามารถนำพยานหลักฐานมีพิสูจน์เช่นว่านั้นได้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 64 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2535 ให้ยกเลิกมาตรา 13 เดิมและใช้ความใหม่แทน และให้เพิ่มความเป็นมาตรา 13 ทวิ การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 13 ทวิ และมีโทษตามมาตรา ซึ่งมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่มีโทษเบากว่าโทษตามมาตรา 89 เดิม จึงต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่เพราะเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5333/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์และการลงโทษตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 58 (พ.ศ.2532) เรื่องเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์ ตามความใน พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ย่อมมีผลบังคับเช่นกฎหมาย
จำเลยครอบครองเพโมลีนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวนเดียวกับที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่ต้องปรับบทลงโทษในความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก
การมีเพโมลีนไว้ในความครอบครองเพื่อขาย มิใช่เป็นความผิดในตัวเอง แต่เป็นความผิดเพราะมีประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งแต่เดิมจัดอยู่ในวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้ขายได้ ตามสภาพและพฤติการณ์จำเลยอาจไม่รู้ว่าการมีเพโมลีนไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย และหากจำเลยสามารถนำพยานหลักฐานมีพิสูจน์เช่นว่านั้นได้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ตาม ป.อ.มาตรา 64
พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535ให้ยกเลิกมาตรา 13 เดิมและใช้ความใหม่แทน และให้เพิ่มความเป็นมาตรา 13 ทวิการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 13 ทวิ และมีโทษตามมาตรา 89ซึ่งมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่มีโทษเบากว่าโทษตามมาตรา 89 เดิม จึงต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่เพราะเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย ตาม ป.อ.มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5199/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ห้ามคู่ความฟ้องประเด็นเดียวกันซ้ำหลังศาลวินิจฉัยแล้ว
โจทก์ฟ้องคดีเรื่องก่อนขอให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายที่จำเลยครอบครองรถยนต์ทั้งสองคันแล้วไม่ยอมส่งมอบให้โจทก์หลังจากบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว ส่วนคดีนี้เป็นเรื่องเรียกให้จำเลยชดใช้ค่าภาษีรถยนต์ที่โจทก์ชำระแทนจำเลยไป ประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยในคดีนี้ก็เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกันคือความเสียหายอันเกิดแต่สัญญาเช่าซื้อ ค่าภาษีรถยนต์ทั้งสองคันที่จำเลยจะต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อนั้นเป็นหนี้ที่มีอยู่ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีเรื่องก่อนแล้ว โจทก์อาจฟ้องเรียกจากจำเลยได้ในคดีเรื่องก่อน แต่หาฟ้องไม่ กรณีต้องด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 148ที่ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องโจทก์คดีเรื่องก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5199/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ความเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อเดิม ห้ามฟ้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมในประเด็นเดียวกัน
คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยมีข้ออ้างว่า จำเลยต้องรับผิดชำระค่าภาษีรถยนต์ที่โจทก์ได้ชำระแทนจำเลยตลอดระยะเวลาที่จำเลย ครอบครองอยู่จนถึงวันส่งคืนการครอบครองให้แก่โจทก์ตามสัญญา เช่าซื้อ ส่วนคดีก่อนข้ออ้างที่โจทก์กล่าวหาก็คือ เมื่อ ครบกำหนดสัญญาเช่าซื้อแล้ว จำเลยยังครอบครองรถยนต์ ที่เช่าซื้ออยู่ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ใช้ราคารถยนต์และ ค่าขาดประโยชน์ ข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีเป็นเรื่องเรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากสัญญาเช่าซื้อฉบับเดียวกันแม้ฟ้องของโจทก์ในคดีเรื่องก่อนจะขอให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายที่จำเลยครอบครองรถยนต์แล้วไม่ยอมส่งมอบให้โจทก์หลังจากบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว ส่วนคดีนี้เป็น เรื่องเรียกให้จำเลยชดใช้ค่าภาษีรถยนต์ที่โจทก์ชำระแทนจำเลยไป แต่ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก็เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกัน คือความเสียหายอันเกิดแต่สัญญาเช่าซื้อนั่นเอง ค่าภาษีรถยนต์ ที่จำเลยจะต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อนั้น เป็นหนี้ที่มีอยู่ ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีเรื่องก่อนแล้ว โจทก์อาจฟ้องเรียก จากจำเลยได้ในคดีเรื่องก่อน แต่โจทก์ไม่ฟ้อง จึงเป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5199/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ค่าภาษีรถยนต์จากสัญญาเช่าซื้อเดิม ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.148
คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยมีข้ออ้างว่าจำเลยต้องรับผิดชำระค่าภาษีรถยนต์ที่โจทก์ได้ชำระแทนจำเลยตลอดระยะเวลาที่จำเลยครอบครองอยู่จนถึงวันส่งคืนการครอบครองให้แก่โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ ส่วนคดีก่อนข้ออ้างที่โจทก์กล่าวหาก็คือเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าซื้อซื้อแล้วจำเลยยังครอบครองรถยนต์เช่าซื้ออยู่ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ใช้ราคารถยนต์และค่าขาดประโยชน์ข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีเป็นเรื่องเรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากสัญญาเช่าซื้อฉบับเดียวกันแม้ฟ้องของโจทก์ในคดีเรื่องก่อนจะขอให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายที่จำเลยครอบครองรถยนต์แล้วไม่ยอมส่งมอบให้โจทก์หลังจากบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้วส่วนคดีนี้เป็นเรื่องเรียกให้จำเลยชดใช้ค่าภาษีรถยนต์ที่โจทก์ชำระแทนจำเลยไปแต่ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก็เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกันคือความเสียหายอันเกิดแต่สัญญาเช่าซื้อนั่นเองค่าภาษีรถยนต์ที่จำเลยจะต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อนั้นเป็นหนี้ที่อยู่ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีเรื่องก่อนแล้วโจทก์อาจฟ้องเรียกจากจำเลยได้ในคดีเรื่องก่อนแต่โจทก์ไม่ฟ้องจึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5106/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับการพิจารณาคดีแพ่งอาญาและการแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกให้นั้น เป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219
การที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญา ไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้ แต่ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 42 และ 46 มุ่งหมายที่จะให้ศาลที่พิจารณาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลคดีส่วนอาญาก่อนแล้วจึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีส่วนอาญา ฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีส่วนแพ่งจึงชอบแล้ว
ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5106/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับการพิจารณาคดีแพ่งและอาญา และการโต้แย้งข้อเท็จจริงในฎีกา
ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกให้นั้นเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219 การที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา42และ46มุ่งหมายที่จะให้ศาลมีพิจารณาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลคดีส่วนอาญาก่อนแล้วจึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคดีส่วนอาญาฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาส่วนอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีส่วนแพ่งจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ไม่ปรากฎว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค2ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5106/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญาและแพ่งควบคู่กัน ศาลฎีกาชี้ว่าไม่จำเป็นต้องพิจารณาคดีแพ่งก่อน และการไม่รอการลงโทษจำคุกอาจไม่เหมาะสม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน2ปีและให้รอการลงโทษจำคุกไว้ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้เป็นว่าไม่รอการลงโทษจำคุกเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219 ไม่มีกฎหมายบังคับให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีอาญาการที่ศาลมีคำพิพากษาคดีอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีแพ่งจึงเป็นการชอบ
of 116