คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุทธิ นิชโรจน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,157 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3432/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ระยะเวลาอุทธรณ์คำวินิจฉัย คชก. เริ่มนับจากวันที่ทราบคำวินิจฉัย แม้ยังไม่ได้รับหนังสือแจ้ง
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 56 วรรคแรก ไม่ได้บัญญัติวิธีการในการแจ้งให้ทราบถึงคำวินิจฉัย คชก. ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร หรือจะต้องทำเป็นหนังสือทางการหรือไม่ ดังนั้น หากผู้เช่านาทราบคำวินิจฉัย คชก.ตำบลแล้วไม่ว่าด้วยเหตุใด ก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาที่ต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน โจทก์ที่ 1 ทราบคำวินิจฉัย คชก.ตำบลแล้วในวันเดียวกันโจทก์ที่ 1 บอกให้โจทก์ที่ 2 ทราบคำวินิจฉัย คชก.ตำบลจึงต้องถือว่าโจทก์ที่ 2 ได้ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลเช่นเดียวกัน โจทก์ทั้งสองจะต้องยื่นอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัดภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลแม้ต่อมา คชก.ตำบล จะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้โจทก์ทั้งสองทราบในภายหลังอีก ก็หาเป็นผลให้โจทก์ทั้งสองอ้างเป็นเหตุให้เริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ใหม่ นับแต่วันได้รับหนังสือดังกล่าวอีกได้ไม่เมื่อโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์เกินกว่า 30 วันนับแต่ทราบคำวินิจฉัยแต่แรกเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 56 วรรคแรกคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 56 วรรคสองคชก.จังหวัดไม่มีอำนาจวินิจฉัยเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของคชก.ตำบล ตามที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ การที่ คชก.จังหวัดได้ลงมติและวินิจฉัยอีก จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ปราศจากอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลที่ให้โจทก์ทั้งสองเลิกการเช่านาเป็นที่สุดแล้ว โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องหรือร้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ทำนาในที่นาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3432/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับระยะเวลาอุทธรณ์คำวินิจฉัย คชก.ตำบล และผลของการอุทธรณ์พ้นกำหนด
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 56 วรรคแรก ไม่ได้บัญญัติถึงวิธีการในการแจ้งให้ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบล ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร หรือจะต้องทำเป็นหนังสือทางการหรือไม่ฉะนั้น หากผู้เช่านาทราบคำวินิจฉัย คชก.ตำบล แล้วไม่ว่าด้วยเหตุใด ก็ต้องเริ่มนับเวลาที่ต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน
โจทก์ที่ 1 ร่วมประชุมอยู่จนกระทั่ง คชก.ตำบล ลงมติวินิจฉัยโจทก์ที่ 1 ย่อมทราบคำวินิจฉัยในขณะนั้นแล้ว และโจทก์ที่ 1 ก็บอกให้โจทก์ที่ 2ทราบคำวินิจฉัย จึงบ่งชี้ว่าโจทก์ที่ 2 ได้ทราบคำวินิจฉัยเช่นเดียวกัน โจทก์ทั้งสองต้องยื่นอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัด ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบล แม้ต่อมา คชก.ตำบล จะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้โจทก์ทั้งสองทราบในภายหลังอีก โจทก์ทั้งสองจะอ้างเป็นเหตุให้เริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ใหม่นับแต่วันได้รับหนังสือดังกล่าวไม่ได้
การที่ คชก.จังหวัด ได้ลงมติและวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองซึ่งยื่นเมื่อพ้นกำหนด เป็นคำวินิจฉัยที่ปราศจากอำนาจ ไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ที่ให้โจทก์ทั้งสองเลิกการเช่านาเป็นที่สุดแล้วโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องหรือร้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองทำนาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3432/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ระยะเวลาอุทธรณ์คำวินิจฉัย คชก. การนับเริ่มจากวันที่ทราบคำวินิจฉัย แม้ยังไม่ได้รับหนังสือแจ้ง
พระราชบัญญัติญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา56วรรคแรกไม่ได้บัญญัติวิธีการในการแจ้งให้ทราบถึงคำวินิจฉัยคชก.ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรหรือจะต้องทำเป็นหนังสือทางการหรือไม่ดังนั้นหากผู้เช่านาทราบคำวินิจฉัยคชก.ตำบลแล้วไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาที่ต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน30วัน โจทก์ที่1ทราบคำวินิจฉัยคชก.ตำบลแล้วในวันเดียวกันโจทก์ที่1บอกให้โจทก์ที่2ทราบคำวินิจฉัยคชก.ตำบลจึงต้องถือว่าโจทก์ที่2ได้ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลเช่นเดียวกันโจทก์ทั้งสองจะต้องยื่นอุทธรณ์ต่อคชก.จังหวัดภายใน30วันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลแม้ต่อมาคชก.ตำบลจะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้โจทก์ทั้งสองทราบในภายหลังอีกก็หาเป็นผลให้โจทก์ทั้งสองอ้างเป็นเหตุให้เริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ใหม่นับแต่วันได้รับหนังสือดังกล่าวอีกได้ไม่เมื่อโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์เกินกว่า30วันนับแต่วันทราบคำวินิจฉัยแต่แรกเป็นการฝ่าฝืนมาตรา56วรรคแรกคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลจึงเป็นที่สุดตามมาตรา56วรรคสองคชก.จังหวัดไม่มีอำนาจวินิจฉัยเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลตามที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์การที่คชก.จังหวัดได้ลงมติและวินิจฉัยอีกจึงเป็นคำวินิจฉัยที่ปราศจากอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมายถือว่าคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลที่ให้โจทก์ทั้งสองเลิกการเช่านาเป็นที่สุดแล้วโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องหรือร้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ทำนาในที่นาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3337/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์การชำระหนี้เงินกู้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653: หลักฐานลายมือชื่อผู้ให้ยืม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์แล้วไม่ชำระหนี้ จำเลยให้การรับว่าได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปจริง แต่ได้ชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยย่อมมีภาระการพิสูจน์และหน้าที่นำสืบว่าได้ชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แล้วบางส่วนตามคำให้การ แต่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคสอง การที่จำเลยจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงเมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานเอกสารลงลายมือชื่อของโจทก์มาแสดงเป็นพยานหลักฐานในคดี จำเลยจึงต้องห้ามมิให้นำสืบเรื่องการชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์ แม้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมสมควรอย่างยิ่งที่จะให้จำเลยนำพยานบุคคลและเอกสารการชำระเงินที่ไม่มีลายมือชื่อโจทก์มานำสืบก็ตาม แต่ศาลก็ไม่อาจอนุญาตหรือรับฟังพยาน-หลักฐานเช่นนั้นได้ เพราะต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้นและขัดต่อ ป.วิ.พ.มาตรา 94 อีกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3337/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์การชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม จำเป็นต้องมีหลักฐานเอกสารลงลายมือชื่อผู้ให้ยืม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์แล้วไม่ชำระหนี้จำเลยให้การรับว่าได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปจริงแต่ได้ชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์แล้วจำเลยย่อมมีภาระการพิสูจน์และหน้าที่นำสืบว่าได้ชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แล้วบางส่วนตามคำให้การแต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา653วรรคสองการที่จำเลยจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงเมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานเอกสารลงลายมือชื่อของโจทก์มาแสดงเป็นพยานหลักฐานในคดีจำเลยจึงต้องห้ามมิให้นำสืบเรื่องการชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แม้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมสมควรอย่างยิ่งที่จะให้จำเลยนำพยานบุคคลและเอกสารการชำระเงินที่ไม่มีลายมือชื่อโจทก์มานำสืบก็ตามแต่ศาลก็ไม่อาจอนุญาตหรือรับฟังพยานหลักฐานเช่นนั้นได้เพราะต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้นและขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94อีกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3200/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจร: รู้หรือควรจะรู้ว่าทรัพย์นั้นได้มาจากการกระทำความผิด
จำเลยได้รับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ ซึ่งเป็นรถที่มีทะเบียน แต่จำเลยก็ยังรับซื้อมาในราคาเพียง 3,000 บาท ซึ่งเป็นราคาถูกผิดปกติอย่างมากโดยมิได้สนใจเรื่องการโอนทะเบียนรถ พฤติการณ์มีเหตุบ่งชี้ชัดแจ้งว่าจำเลยรับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3200/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับซื้อทรัพย์สินที่ได้มาจากการลักทรัพย์ โดยรู้ว่าเป็นของผิดกฎหมาย ถือเป็นความผิดฐานรับของโจร
จำเลยได้รับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ซึ่งเป็นรถที่มีทะเบียนแต่จำเลยก็ยังรับซื้อมาในราคาเพียง3,000บาทซึ่งเป็นราคาถูกผิดปกติอย่างมากโดยมิได้สนใจเรื่องการโอนทะเบียนรถพฤติการณ์มีเหตุบ่งชี้ชัดแจ้งว่าจำเลยรับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3185/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาโดยไม่ส่งตัวจำเลย และจำเลยไม่อยู่ในอำนาจศาล ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น ทำให้ไม่อาจฎีกาได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ฟ้องจำเลยโดยไม่นำตัวจำเลยมาส่งศาลพร้อมฟ้องและจำเลยไม่อยู่ในอำนาจของศาลจึงสั่งไม่ประทับฟ้องและจำหน่ายคดีเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนย่อมมีผลเท่ากับว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3185/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องจำเลยที่ไม่ได้ตัวจำเลยมาส่งศาล และผลกระทบต่อสิทธิในการฎีกา
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่าโจทก์ฟ้องโดยไม่นำตัวจำเลยมาส่งศาลพร้อมฟ้องจึงสั่งไม่ประทับฟ้องและจำหน่ายคดีเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3084/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอายัดที่ดินตาม ป.ที่ดิน มาตรา 83 ยังมีผลจนกว่าศาลจะมีคำสั่งถอนหรือมีคำพิพากษาถึงที่สุด แม้มีการฟ้องคดี
การที่ พนักงานเจ้าหน้าที่รับอายัดที่ดินตามป.ที่ดินมาตรา83ไว้แล้วและผู้ขออายัดไปดำเนินคดีทางศาลภายในกำหนดเวลาการอายัดก็ยังคงมีผลอยู่ต่อไปจนกว่าศาลจะสั่งให้ถอนการอายัดหรือมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งถึงที่สุดเมื่อคดีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาและไม่มีคำสั่งศาลให้ถอนการอายัดการอายัดจึงยังคงมีอยู่ตามมาตรา83วรรคสอง
of 116