พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,157 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีตามคำท้าของคู่ความและการขอพิจารณาคดีใหม่ หากเห็นว่าศาลไม่มีอำนาจต้องอุทธรณ์ ไม่ใช่ขอพิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาไปตามคำท้าของคู่ความมิใช่เป็นกรณีการพิจารณาโดยขาดนัดอันจะเป็นเหตุให้คู่ความร้องขอให้มีการพิจารณาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา207ถ้าจำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจวินิจฉัยไปตามคำท้าก็จะต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไปจะขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีตามคำท้าของคู่ความ และการขอพิจารณาใหม่หลังคำพิพากษาถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาไปตามคำท้าของคู่ความ มิใช่เป็นกรณีการพิจารณาโดยขาดนัด อันจะเป็นเหตุให้คู่ความร้องขอให้มีการพิจารณาใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ถ้าจำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจวินิจฉัยไปตามคำท้า ก็จะต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไป จะขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคดีอาญาเป็นข้อตกลงแพ้ชนะ: ศาลต้องรอคำพิพากษาถึงที่สุด
การที่คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลคดีอาญาหมายเลขดำที่1758/2531 ของศาลชั้นต้นเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้นั้น ไม่ได้หมายถึงผลของคำพิพากษาในศาลชั้นต้น การอ้างเลขคดีของศาลชั้นต้นเป็นแต่เพียงการอ้างผลคดีดำที่คู่ความท้ากันเท่านั้น เมื่อคู่ความท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาย่อมต้องหมายถึงผลคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้ว
คู่ความไม่ได้ตกลงท้ากัน ให้ถือเอาผลคำพิพากษาของศาลชั้นต้นการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยถือเอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยไม่รอผลคำพิพากษาถึงที่สุด และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นการพิพากษาคดีไปโดยไม่ตรงตามคำท้าเป็นการไม่ชอบ แต่ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ของศาลฎีกาปรากฏว่าคดีอาญาที่คู่ความท้ากันนั้น ศาลฎีกาได้พิพากษาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
คู่ความไม่ได้ตกลงท้ากัน ให้ถือเอาผลคำพิพากษาของศาลชั้นต้นการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยถือเอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยไม่รอผลคำพิพากษาถึงที่สุด และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นการพิพากษาคดีไปโดยไม่ตรงตามคำท้าเป็นการไม่ชอบ แต่ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ของศาลฎีกาปรากฏว่าคดีอาญาที่คู่ความท้ากันนั้น ศาลฎีกาได้พิพากษาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับเงินค่าเสียหายระหว่างบังคับคดี ไม่ถือเป็นการยอมรับว่าไม่มีการฉ้อฉล
การที่โจทก์รับเงินที่จำเลยที่1วางเป็นค่าเสียหายที่ต้องชดใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งเป็นการดำเนินการชั้นบังคับคดีเมื่อจำเลยที่1ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับการขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์นั้นหาใช่เป็นการยอมรับว่าจำเลยทั้งสองมิได้ฉ้อฉลโจทก์ดังที่โจทก์ฟ้องและไม่ประสงค์ดำเนินคดีต่อไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1198/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะ สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลบังคับใช้ได้ ศาลยกฟ้อง
ตามฟ้องและคำให้การมีประเด็นข้อพิพาทว่าทางพิพาททั้งหกสายเป็นทางสาธารณะหรือไม่และในชั้นอุทธรณ์โจทก์อุทธรณ์แต่เพียงว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะไม่มีประเด็นวินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นสมประโยชน์แก่จำเลยแล้วจำเลยจึงไม่อาจยกประเด็นนี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1198/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นทางสาธารณะ & สัญญาประนีประนอม: การวินิจฉัยนอกประเด็นและการอุทธรณ์ซ้ำ
โจทก์ฟ้องว่า ทางพิพาททั้ง 6 สาย เป็นทางสาธารณะ จำเลยที่ 4 ก่อสร้างตึกแถวลงบนทางสาธารณะดังกล่าว ขอให้ระงับการก่อสร้างและนำสิ่งกีดขวางออกจากแนวเขตทางดังกล่าว จำเลยที่ 4 ให้การว่าทางทั้ง 6 สายมิใช่ทางสาธารณะ ตามคำฟ้องมิได้กล่าวอ้างว่า ทางทั้ง 6 สายเป็นทางภาระจำยอมและศาลชั้นต้นก็ชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทางทั้ง 6 สายเป็นทางสาธารณะหรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่าทางทั้ง 6 สาย ไม่ใช่ทางสาธารณะ โจทก์ที่ 3 อุทธรณ์ว่าทางทั้ง 6 สายเป็นทางสาธารณะ ปัญหาในชั้นอุทธรณ์จึงมีเพียงว่าทางทั้ง 6 สายเป็นทางสาธารณะหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ทางสายที่ 1 ที่ 2 และที่ 3เป็นทางภาระจำยอมสำหรับโจทก์ที่ 3 จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 กับพวก สมคบกันใช้กลอุบายหลอกลวงโจทก์ทั้งหกจนโจทก์ทั้งหกกับพวกยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 ให้การว่า สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายทำขึ้นโดยสมัครใจ มิได้มีการใช้กลอุบายหลอกลวง โจทก์จึงต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลใช้บังคับโดยชอบด้วยกฎหมาย คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นจึงเป็นการสมประโยชน์แก่จำเลยที่ 4 แล้ว จำเลยที่ 4 จึงไม่อาจยกปัญหานี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาได้อีก
โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 กับพวก สมคบกันใช้กลอุบายหลอกลวงโจทก์ทั้งหกจนโจทก์ทั้งหกกับพวกยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 ให้การว่า สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายทำขึ้นโดยสมัครใจ มิได้มีการใช้กลอุบายหลอกลวง โจทก์จึงต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลใช้บังคับโดยชอบด้วยกฎหมาย คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นจึงเป็นการสมประโยชน์แก่จำเลยที่ 4 แล้ว จำเลยที่ 4 จึงไม่อาจยกปัญหานี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1095-1097/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้โดยระบุเจาะจงคดี การนำเงินไปชำระหนี้อื่นขัดต่อกฎหมาย
จำเลยที่5ซึ่งเป็นลูกหนี้ได้ชำระหนี้โดยระบุด้านหลังเช็คทุกฉบับไว้ชัดว่าให้นำไปชำระหนี้ตามคดีกลุ่มที่พิพากษาในปี2526ทั้งสามสำนวนในคดีนี้โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์คัดค้านแต่ประการใดการที่โจทก์นำเงินจำนวนตามเช็คดังกล่าวไปเฉลี่ยชำระหนี้ของจำเลยที่5ตามคดีกลุ่มที่พิพากษาในปี2528ซึ่งเป็นหนี้รายอื่นนอกจากที่จำเลยที่5ระบุไว้จึงเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา328วรรคหนึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิกระทำได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน: การปฏิเสธการรับโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนจากกรรมสิทธิ์ร่วม และสิทธิในการบังคับตามสัญญา
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำจากโจทก์ทั้งสองการที่จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีผลทำให้สัญญาระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยระงับไปแต่อย่างใดจำเลยยังคงมีความผูกพันกับโจทก์ทั้งสองตามสัญญาโจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิที่จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายได้อย่างไรก็ตามแต่เหตุที่ทำให้จำเลยไม่สามารถปฏิบัติการชำระหนี้ให้โจทก์ทั้งสองตามสัญญาได้เกิดจากการกระทำของบุคคลภายนอกที่มิได้เกี่ยวข้องในระหว่างสัญญาระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยถือว่าเป็นพฤติการณ์ที่อยู่นอกเหนือวิสัยและความรับผิดชอบของจำเลยกรณีจะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ได้เช่นเดียวกันจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในเบี้ยปรับและค่าเสียหายตามที่โจทก์ทั้งสองเรียกร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 930/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รวม ทางเข้าออกร่วมกัน การใช้ประโยชน์ที่ดิน โครงการบ้านจัดสรร ไม่เป็นการละเมิด
โจทก์ทั้งสามและจำเลยที่1มีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดิน2แปลงโดยมีเจตนาที่จะใช้ที่พิพาททั้ง 2 แปลงนี้เป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะร่วมกันเพราะต่างมีที่ดินอยู่ติดเข้าไปข้างในโดยจำเลยที่1มีที่ดินอีกแปลงหนึ่งใช้ทำบ้านจัดสรรอยู่ชิดไปด้านทิศตะวันออกการที่จำเลยที่ 1 ทำถนนคอนกรีตบนที่พิพาทเพื่อเข้าสู่ที่ดินของจำเลยที่ 1 เป็นไปตามเจตนาเดิมของคู่กรณีที่จะใช้เป็นทางออกสู่ถนนสาธารณะร่วมกันนอกจากจะไม่เสียหายแล้วยังกลับจะมีประโยชน์มากยิ่งขึ้นส่วนการปักเสาไฟฟ้าและวางท่อประปาก็ได้ทำชิดติดเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศตะวันออกไม่มีส่วนใดกีดขวางทางเข้าออกซึ่งโจทก์ที่ 1 รับว่าไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ตัวทรัพย์การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการใช้ทรัพย์สินในทางขัดต่อสิทธิของโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของรวมไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามการที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เข้าไปปักเสาไฟฟ้าและวางน้ำประปาตามคำขอของจำเลยที่ 1 ก็ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามเช่นกัน จำเลยที่ 6 ถึงที่ 20 ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินพร้อมบ้านจากโครงการของจำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิใช้ถนนคอนกรีตออกสู่ทางสาธารณะได้โดยอาศัยข้อตกลงระหว่างโจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 1 ที่ว่าต่างยินยอมให้เจ้าของที่ดินทั้งสองฝ่ายที่อยู่สองข้างทางใช้ที่พิพาทออกสู่ทางสาธารณะได้โดยให้สัญญาดังกล่าวมีผลผูกพันผู้ที่ซื้อที่ดินต่อไปด้วยการกระทำของจำเลยที่ 6 ถึงที่ 20 จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความยินยอมของผู้เยาว์ในความสัมพันธ์ฉันชู้สาวและการกระทำชำเราที่ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยพา จ. ผู้เยาว์อายุ17ปีอยู่ในความปกครองของ ว.ไปค้างคืนนอกบ้านและ จ. ยินยอมให้จำเลยกระทำชำเราด้วยความสมัครใจโดย จ. กับจำเลยรักใคร่ชอบพอกันประสงค์จะเป็นสามีภริยากันเช่นนี้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา319วรรคแรก