พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,157 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกเงินจากหน่วยงานรัฐกับการเรียกเก็บเงินตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะ
โจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐเรียกเก็บเงินตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายจึงมิใช่บุคคลที่ทางราชการได้ตั้งแต่หรืออนุญาตให้จัดกิจกรรมเฉพาะบางอย่างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(15) ซึ่งมีกำหนด อายุความ 2ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, อายุความ, และขอบเขตการชำระเงินแร่ตามกฎหมายควบคุมแร่ดีบุก: ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะฟ้องโจทก์ไม่ได้อ้างอิงและนำพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่า ศ. เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่อย่างไรจำเลยไม่ทราบไม่รับรองคำให้การดังกล่าวมิได้ปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่า ศ. ไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์จึงรับฟังได้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า ศ.มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่แม้ศาลล่างทั้งสองจะยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยให้การว่าจำเลยขนแร่ดีบุกปนตะกั่วซึ่งไม่ใช่แร่ดีบุกจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ของกฎหมายให้ต้องชำระเงินแทนแร่เพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศฉะนั้นที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ต้องชำระเงินแทนแร่เพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศเพราะแร่ที่จำเลยได้รับอนุญาตขนนั้นขายให้แก่ผู้ซื้อภายในประเทศและเป็นแร่ดีบุกปนตะกั่วมีดีบุกในเปอร์เซ็นต์ต่ำจึงนอกเหนือจากคำให้การเป็นเรื่องนอกประเด็นแม้ศาลล่างทั้งสองจะยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐเรียกเก็บเงินแทนแร่เพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศจากจำเลยตามอำนาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติควบคุมแร่ดีบุกพ.ศ.2514มาตรา24โจทก์จึงมิใช่บุคคลที่ทางราชการได้ตั้งแต่งหรืออนุญาตให้จัดกิจการเฉพาะบางอย่างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา165(15)ซึ่งมีกำหนดอายุความ2ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการเรียกเก็บเงินแทนแร่ดีบุก: โจทก์เป็นหน่วยงานรัฐตาม พ.ร.บ.ควบคุมแร่ดีบุก ไม่เข้าข่ายอายุความ 2 ปีตาม ป.พ.พ.มาตรา 165(15)
กรมทรัพยากรธรณีโจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐเรียกเก็บเงินที่โจทก์ได้ออกทดรองแทนจำเลยเพื่อชำระเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศจากจำเลยตามอำนาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติควบคุมแร่ดีบุกพ.ศ.2514มาตรา24โจทก์จึงมิใช่บุคคลที่ทางราชการได้ตั้งแต่งหรืออนุญาตให้จัดกิจการเฉพาะบางอย่างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา165(15)ซึ่งจะมีกำหนดอายุความ2ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและขอบเขตการวินิจฉัยคดี: แร่ดีบุก, การชำระเงิน, และข้อต่อสู้ที่มิได้ยกขึ้นว่ากัน
จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะฟ้องโจทก์ไม่ได้อ้างอิงและนำพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่า ศ. เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่อย่างไร จำเลยไม่ทราบไม่รับรอง คำให้การดังกล่าวมิได้ปฏิเสธ-โดยชัดแจ้งว่า ศ. ไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ จึงรับฟังได้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า ศ. มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่ แม้ศาลล่างทั้งสองจะยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยให้การว่าจำเลยขนแร่ดีบุกปนตะกั่วซึ่งไม่ใช่แร่ดีบุก จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ของกฎหมายให้ต้องชำระเงินแทนแร่เพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศ ฉะนั้น ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ต้องชำระเงินแทนแร่เพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศเพราะแร่ที่จำเลยได้รับอนุญาตขนนั้นขายให้แก่ผู้ซื้อภายในประเทศและเป็นแร่ดีบุกปนตะกั่วมีดีบุกในเปอร์เซ็นต์ต่ำ จึงนอกเหนือจากคำให้การ เป็นเรื่องนอกประเด็น แม้ศาลล่างทั้งสองจะยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์เป็นหน่วนงานของรัฐเรียกเก็บเงินแทนแร่เพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศจากจำเลยตามอำนาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ควบคุมแร่ดีบุก พ.ศ.2514 มาตรา 24 โจทก์จึงมิใช่บุคคลที่ทางราชการได้ตั้งแต่งหรืออนุญาตให้จัดกิจการเฉพาะบางอย่างตาม ป.พ.พ. มาตรา 165 (15) ซึ่งมีกำหนดอายุความ 2 ปี
จำเลยให้การว่าจำเลยขนแร่ดีบุกปนตะกั่วซึ่งไม่ใช่แร่ดีบุก จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ของกฎหมายให้ต้องชำระเงินแทนแร่เพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศ ฉะนั้น ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ต้องชำระเงินแทนแร่เพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศเพราะแร่ที่จำเลยได้รับอนุญาตขนนั้นขายให้แก่ผู้ซื้อภายในประเทศและเป็นแร่ดีบุกปนตะกั่วมีดีบุกในเปอร์เซ็นต์ต่ำ จึงนอกเหนือจากคำให้การ เป็นเรื่องนอกประเด็น แม้ศาลล่างทั้งสองจะยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์เป็นหน่วนงานของรัฐเรียกเก็บเงินแทนแร่เพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศจากจำเลยตามอำนาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ควบคุมแร่ดีบุก พ.ศ.2514 มาตรา 24 โจทก์จึงมิใช่บุคคลที่ทางราชการได้ตั้งแต่งหรืออนุญาตให้จัดกิจการเฉพาะบางอย่างตาม ป.พ.พ. มาตรา 165 (15) ซึ่งมีกำหนดอายุความ 2 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 429/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้ตามเลตเตอร์ออฟเครดิต: เริ่มนับจากวันชำระเงินแทนคู่สัญญา
มูลหนี้ตามคำขอเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตไม่มีกฎหมายบัญญัติเกี่ยวกับอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิมโดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่1ได้ชำระค่าสินค้าแทนจำเลยที่1ไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนชื่อจากน.ส.3ก. กรณีสิทธิร่วม และการยกคำขอเนื่องจากฎีกาต้องห้าม
คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค1แสดงให้เห็นว่าโจทก์ที่3มิได้มีสิทธิแต่ผู้เดียวในที่ดินพิพาทอันจะมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนชื่อ ท. ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสามได้เท่านั้นหาได้เป็นการวินิจฉัยในเรื่องแบ่งปันที่ดินพิพาทจึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแต่อย่างใด ส่วนที่โจทก์ทั้งสามขอให้ถอนชื่อ ท. ออกจากน.ส.3ก.สำหรับที่ดินพิพาทนั้นศาลอุทธรณ์ภาค1วินิจฉัยว่าโจทก์ที่3และท. มีสิทธิในที่ดินพิพาทคนละครึ่งกรณีจึงไม่อาจเพิกถอนชื่อ ท.ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทได้ย่อมมีผลเท่ากับยกคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสามแต่ศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่1และที่2เท่านั้นมิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่3ด้วยศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องนอกจากนี้ที่โจทก์ทั้งสามขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรม ท. ใช้บังคับไม่ได้นั้นศาลอุทธรณ์ภาค1วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ จ.ย่อมมีผลเท่ากับพินัยกรรมใช้บังคับได้แต่ศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษายกคำขอเฉพาะโจทก์ที่3เท่านั้นมิได้พิพากษาให้ยกคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่1และที่2ด้วยศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องเช่นกัน ที่โจทก์ที่1และที่2ฎีกาว่าโจทก์ที่3ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. ทุกคนคดีจึงไม่ขาดอายุความนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์ที่3ขาดอายุความหรือไม่เพราะศาลต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติเสียก่อนว่าโจทก์ที่3ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. หรือไม่จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงนอกจากนี้โจทก์ที่1และที่2ยังฎีกาอีกว่า ท. ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทเพียงผู้เดียวจึงไม่อาจทำพินัยกรรมยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยอันเป็นการกระทำที่เกินกว่าสิทธิของตนที่พึงจะได้รับตามกฎหมายในฐานะทายาทของ จ. ขอให้ศาลพิพากษากลับและบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นก็เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค1ฟังมาว่า ท.มีสิทธิในที่ดินพิพาทเพียงครึ่งหนึ่งจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเช่นเดียวกันปรากฏว่าคดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งดังนั้นโจทก์ที่1และที่2จึงต้องห้ามฎีกา ที่จำเลยฎีกาว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกของ จ. การที่โจทก์ที่3ได้ร่วมทำกินกับ ท. ก็ไม่อาจก่อให้เกิดสิทธิใดๆแก่โจทก์ที่3และไม่อยู่ในฐานะที่จะขอแบ่งที่ดินพิพาทได้โจทก์ทั้งสามไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทฟ้องโจทก์ทั้งสามขาดอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1754วรรคหนึ่งเป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค1ฟังมาจึงต้องห้ามฎีกาเช่นเดียวกันกับโจทก์ที่1และที่2ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกว่าท. ได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่พ.ศ.2519แล้วโจทก์ทั้งสามไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านภายในกำหนด1ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375วรรคสองนั้นปรากฏว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเพิกถอนชื่อออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และการโต้แย้งสิทธิในที่ดินมรดก รวมถึงข้อจำกัดในการฎีกาข้อเท็จจริง
คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 แสดงให้เห็นว่า โจทก์ที่ 3มิได้มีสิทธิแต่ผู้เดียวในที่ดินพิพาท อันจะมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนชื่อ ท. ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสามได้เท่านั้น หาได้เป็นการวินิจฉัยในเรื่องแบ่งปันที่ดินพิพาท จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแต่อย่างใด
ส่วนที่โจทก์ทั้งสามขอให้ถอนชื่อ ท. ออกจาก น.ส.3 ก.สำหรับที่ดินพิพาทนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 3 และ ท. มีสิทธิในที่ดินพิพาทคนละครึ่ง กรณีจึงไม่อาจเพิกถอนชื่อ ท. ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทได้ ย่อมมีผลเท่ากับยกคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสาม แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เท่านั้นมิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 3 ด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง นอกจากนี้ที่โจทก์ทั้งสามขอให้พิพากษาว่า พินัยกรรม ท. ใช้บังคับไม่ได้นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ จ. ย่อมมีผลเท่ากับพินัยกรรมใช้บังคับได้ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำขอเฉพาะโจทก์ที่ 3 เท่านั้น มิได้พิพากษาให้ยกคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องเช่นกัน
ที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 3 ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. ทุกคน คดีจึงไม่ขาดอายุความนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์ที่ 3 ขาดอายุความหรือไม่เพราะศาลต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติเสียก่อนว่า โจทก์ที่ 3 ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. หรือไม่ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงนอกจากนี้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ยังฎีกาอีกว่า ท.ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทเพียงผู้เดียวจึงไม่อาจทำพินัยกรรมยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยอันเป็นการกระทำที่เกินกว่าสิทธิของตนที่พึงจะได้รับตามกฎหมายในฐานะทายาทของ จ. ขอให้ศาลพิพากษากลับและบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นก็เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังมาว่า ท.มีสิทธิในที่ดินพิพาทเพียงครึ่งหนึ่ง จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ปรากฏว่าคดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ดังนั้น โจทก์ที่ 1และที่ 2 จึงต้องห้ามฎีกา
ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกของ จ. การที่โจทก์ที่ 3 ได้ร่วมทำกินกับ ท. ก็ไม่อาจก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่โจทก์ที่ 3 และไม่อยู่ในฐานะที่จะขอแบ่งที่ดินพิพาทได้ โจทก์ทั้งสามไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดิน-พิพาท ฟ้องโจทก์ทั้งสามขาดอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคหนึ่ง เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังมาจึงต้องห้ามฎีกาเช่นเดียวกันกับโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกว่าท.ได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ.2519 แล้ว โจทก์ทั้งสามไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านภายในกำหนด 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองตามประมวล-กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง นั้น ปรากฏว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ส่วนที่โจทก์ทั้งสามขอให้ถอนชื่อ ท. ออกจาก น.ส.3 ก.สำหรับที่ดินพิพาทนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 3 และ ท. มีสิทธิในที่ดินพิพาทคนละครึ่ง กรณีจึงไม่อาจเพิกถอนชื่อ ท. ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทได้ ย่อมมีผลเท่ากับยกคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสาม แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เท่านั้นมิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 3 ด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง นอกจากนี้ที่โจทก์ทั้งสามขอให้พิพากษาว่า พินัยกรรม ท. ใช้บังคับไม่ได้นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ จ. ย่อมมีผลเท่ากับพินัยกรรมใช้บังคับได้ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำขอเฉพาะโจทก์ที่ 3 เท่านั้น มิได้พิพากษาให้ยกคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องเช่นกัน
ที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 3 ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. ทุกคน คดีจึงไม่ขาดอายุความนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์ที่ 3 ขาดอายุความหรือไม่เพราะศาลต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติเสียก่อนว่า โจทก์ที่ 3 ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. หรือไม่ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงนอกจากนี้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ยังฎีกาอีกว่า ท.ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทเพียงผู้เดียวจึงไม่อาจทำพินัยกรรมยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยอันเป็นการกระทำที่เกินกว่าสิทธิของตนที่พึงจะได้รับตามกฎหมายในฐานะทายาทของ จ. ขอให้ศาลพิพากษากลับและบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นก็เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังมาว่า ท.มีสิทธิในที่ดินพิพาทเพียงครึ่งหนึ่ง จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ปรากฏว่าคดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ดังนั้น โจทก์ที่ 1และที่ 2 จึงต้องห้ามฎีกา
ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกของ จ. การที่โจทก์ที่ 3 ได้ร่วมทำกินกับ ท. ก็ไม่อาจก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่โจทก์ที่ 3 และไม่อยู่ในฐานะที่จะขอแบ่งที่ดินพิพาทได้ โจทก์ทั้งสามไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดิน-พิพาท ฟ้องโจทก์ทั้งสามขาดอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคหนึ่ง เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังมาจึงต้องห้ามฎีกาเช่นเดียวกันกับโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกว่าท.ได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ.2519 แล้ว โจทก์ทั้งสามไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านภายในกำหนด 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองตามประมวล-กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง นั้น ปรากฏว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือค้ำประกันความเสียหายจากการทำงาน ถือเป็นการค้ำประกัน แม้ไม่มีข้อความระบุการชำระหนี้แทน
หนังสือสัญญาค้ำประกันมีข้อความว่าผู้ค้ำประกันขอรับรองว่าภ. เป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อยหากปฏิบัติงานทำให้บริษัทเสียหายยักยอกทุจริตเงินของบริษัทบริษัทจะดำเนินการตามกฎหมายทันทีโดย ภ. ลงชื่อในฐานะผู้สมัครและจำเลยลงชื่อในฐานะผู้ค้ำประกันเป็นกรณีที่จำเลยได้ค้ำประกันความเสียหายที่เกิดจากการทำงานของ ภ. แล้วแม้จะไม่มีข้อความว่าจำเลยยอมรับผิดต่อบริษัทเพื่อชำระหนี้เมื่อ ภ. ไม่ชำระหนี้ก็ไม่ทำให้ความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันของจำเลยที่มีอยู่เปลี่ยนแปลงไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การค้ำประกันความเสียหายจากการทำงาน: ความรับผิดของผู้ค้ำประกันเกิดขึ้นตามกฎหมาย แม้ไม่มีข้อความระบุ
เอกสารที่ทำขึ้นใช้ถ้อยคำแสดงว่าเป็นหนังสือสัญญาค้ำประกันและข้อความต่อมาก็ระบุในรายละเอียดให้เป็นที่เข้าใจได้ว่า จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันที่ลงชื่อไว้ในเอกสารดังกล่าว ขอรับรองการเข้ามาทำงานของจำเลยที่ 1 ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ยักยอกหรือทุจริตเงินของโจทก์ ให้โจทก์ดำเนินการตามกฎหมายแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ทันที ดังนี้เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2ได้ค้ำประกันความเสียหายที่จะเกิดจากการทำงานของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ทำหลักฐานการค้ำประกันเป็นหนังสือให้ไว้แก่โจทก์ แม้จะไม่มีข้อความในเอกสารดังกล่าวระบุว่า จำเลยที่ 2 ยอมผูกพันตนรับผิดต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้เมื่อจำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้ ก็ไม่ทำให้ความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันของจำเลยที่ 2 ที่มีอยู่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้เพราะเมื่อจำเลยที่ 2 ยินยอมผูกพันตนรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันแล้ว ความรับผิดจะมีขึ้นตอนไหนเพียงใดย่อมเป็นไปตามกฎหมายไม่จำต้องระบุถึงความรับผิดดังกล่าวซ้ำอีกถึงได้ใช้คำว่า "ผู้ค้ำประกัน" อันเป็นถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 11ว่าด้วยค้ำประกัน จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือค้ำประกันความเสียหายจากการทำงาน แม้ไม่มีข้อความระบุการชำระหนี้ ก็ผูกพันตามกฎหมายค้ำประกัน
เอกสารที่ทำขึ้นใช้ถ้อยคำแสดงว่าเป็นหนังสือสัญญาค้ำประกันและข้อความต่อมาก็ระบุในรายละเอียดให้เป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยที่2ในฐานะผู้ค้ำประกันที่ลงชื่อไว้ในเอกสารดังกล่าวขอรับรองการเข้ามาทำงานของจำเลยที่1ในกรณีที่จำเลยที่1ยักยอกหรือทุจริตเงินของโจทก์ให้โจทก์ดำเนินการตามกฎหมายแก่จำเลยที่1และจำเลยที่2ได้ทันทีดังนี้เป็นกรณีที่จำเลยที่2ได้ค้ำประกันความเสียหายที่จะเกิดจากการทำงานของจำเลยที่1โดยจำเลยที่2ทำหลักฐานการค้ำประกันเป็นหนังสือให้ไว้แก่โจทก์แม้จะไม่มีข้อความในเอกสารดังกล่าวระบุว่าจำเลยที่2ยอมผูกพันตนรับผิดต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้เมื่อจำเลยที่1ไม่ชำระหนี้ก็ไม่ทำให้ความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันของจำเลยที่2ที่มีอยู่เปลี่ยนแปลงไปทั้งนี้เพราะเมื่อจำเลยที่2ยินยอมผูกพันตนรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันแล้วความรับผิดจะมีขึ้นตอนไหนเพียงใดย่อมเป็นไปตามกฎหมายไม่จำต้องระบุถึงความรับผิดดังกล่าวซ้ำอีกถึงได้ใช้คำว่า"ผู้ค้ำประกัน"อันเป็นถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ3ลักษณะ11ว่าด้วยค้ำประกันจำเลยที่2จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่1