พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,157 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน: การครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่องยาวนานกว่าการขอจับจองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำฟ้องโจทก์ได้ความว่าเดิมโจทก์ได้แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องสอดผู้ร้องสอดแจ้งขอจับจองและได้รับใบจองในชื่อจำเลยแต่จำเลยและผู้ร้องสอดไม่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์โจทก์จึงเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยไม่มีบุคคลใดโต้แย้งสิทธิอันเป็นการแสดงให้เห็นว่าสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่แม้โดยพฤตินัยจำเลยและผู้ร้องสอดจะไม่ได้รบกวนโต้แย้งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองก็ตามแต่โจทก์ยังมีคำขอห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทด้วยโดยจำเลยและผู้ร้องสอดต่างยืนยันในคำให้การและให้คำร้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดที่ให้จำเลยมีชื่อเป็นผู้เข้าทำกินซึ่งเป็นการโต้แย้งการเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55แล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมานาน20ปีแม้โจทก์เคยยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องสอดและผู้ร้องสอดให้จำเลยไปขอออกใบจองจนกระทั่งได้รับหนังสือสำคัญแบบแจ้งการครอบครองแทนผู้ร้องสอดแล้วก็ตามเมื่อการขอจับจองไม่ชอบด้วยกฎหมายและจำเลยกับผู้ร้องสอดไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทที่ดินพิพาทยังคงเป็นของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน: การได้มา การระงับ และการพิสูจน์สิทธิ
คำฟ้องโจทก์ได้ความว่า เดิมโจทก์ได้แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดแจ้งขอจับจองและได้รับใบจองในชื่อจำเลย แต่จำเลยและผู้ร้องสอดไม่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ โจทก์จึงเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยไม่มีบุคคลใดโต้แย้งสิทธิ อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่ แม้โดยพฤตินัยจำเลยและผู้ร้องสอดจะไม่ได้รบกวนโต้แย้งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองก็ตาม แต่โจทก์ยังมีคำขอห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทด้วย โดยจำเลยและผู้ร้องสอดต่างยืนยันในคำให้การและคำร้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดที่ให้จำเลยมีชื่อเป็นผู้เข้าทำกิน ซึ่งเป็นการโต้แย้งการเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ตามป.วิ.พ. มาตรา 55 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมานาน 20 ปี แม้โจทก์เคยยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องสอดและผู้ร้องสอดให้จำเลยไปขอออกใบจองจนกระทั่งได้รับหนังสือสำคัญแบบแจ้งการครอบครองแทนผู้ร้องสอดแล้วก็ตาม เมื่อการขอจับจองไม่ชอบด้วยกฎหมายและจำเลยกับผู้ร้องสอดไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทยังคงเป็นของโจทก์
โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมานาน 20 ปี แม้โจทก์เคยยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องสอดและผู้ร้องสอดให้จำเลยไปขอออกใบจองจนกระทั่งได้รับหนังสือสำคัญแบบแจ้งการครอบครองแทนผู้ร้องสอดแล้วก็ตาม เมื่อการขอจับจองไม่ชอบด้วยกฎหมายและจำเลยกับผู้ร้องสอดไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทยังคงเป็นของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดต่อคดีล้มละลายอื่นที่มีโจทก์เดียวกัน
ขณะโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ล้มละลายในคดีนี้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในอีกคดีหนึ่ง ของศาลชั้นต้นไปก่อนแล้ว แม้โจทก์ในคดีนี้กับโจทก์ในคดี ดังกล่าวจะเป็นคนเดียวกัน คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ดังกล่าวก็ยังมีผลอยู่ และใช้ยันแก่โจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(1) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 จึงต้องจำหน่ายคดีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีนี้ออกจากสารบบความตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดที่มีผลยันแก่โจทก์ในคดีล้มละลายที่ฟ้องซ้ำ
ขณะโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่2และที่3ล้มละลายในคดีนี้จำเลยที่2และที่3ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในอีกคดีหนึ่งของศาลชั้นต้นไปก่อนแล้วแม้โจทก์ในคดีนี้กับโจทก์ในคดีดังกล่าวจะเป็นคนเดียวกันคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดดังกล่าวก็ยังมีผลอยู่และใช้ยันแก่โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145(1)ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา153จึงต้องจำหน่ายคดีจำเลยที่2และที่3ในคดีนี้ออกจากสารบบความตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการอยู่อาศัยในสินสมรส: ความยินยอมของเจ้าของรวมอีกคนไม่ถือเป็นการขัดสิทธิ
โจทก์กับ ฉ. เป็นเจ้าของบ้านพิพาทร่วมกัน ฉ. ยินยอมให้จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทแต่โจทก์ไม่ยินยอมความยินยอมของ ฉ.ก็ไม่เป็นการขัดต่อสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1360วรรคแรกการที่จำเลยไม่ยอมออกไปจากบ้านพิพาทจึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของรวมในสินสมรสและการยินยอมให้ผู้อื่นอยู่อาศัย
บ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับ ฉ. จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และ ฉ.ร่วมกัน เมื่อ ฉ.อนุญาตให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรที่เกิดจากโจทก์อาศัยอยู่ในบ้านพิพาท แม้โจทก์ไม่ยินยอมให้จำเลยอยู่อาศัยต่อไป ความยินยอมของฉ.ก็ไม่เป็นการขัดต่อสิทธิของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1360 วรรคหนึ่งการที่จำเลยไม่ยอมออกจากบ้านพิพาทจึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ในฐานะเจ้าของรวมไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของรวมในสินสมรส: ความยินยอมให้ผู้อื่นอยู่อาศัยไม่ขัดสิทธิเจ้าของรวมอื่น
บ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับ ฉ. จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และ ฉ. ร่วมกันเมื่อ ฉ. อนุญาตให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรที่เกิดจากโจทก์อาศัยอยู่ในบ้านพิพาทแม้โจทก์ไม่ยินยอมให้จำเลยอยู่อาศัยต่อไปความยินยอมของ ฉ. ก็ไม่เป็นการขัดต่อสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1360วรรคหนึ่งการที่จำเลยไม่ยอมออกจากบ้านพิพาทจึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์ในฐานะเจ้าของรวมไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของพนักงานสอบสวนในสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
แม้พนักงานสอบสวนไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลแต่ก็เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งกฎหมายกำหนดให้มีอำนาจทำสัญญาประกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา106,113จึงย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาประกันในฐานะเจ้าพนักงานตามอำนาจแห่งหน้าที่โดยชื่อตำแหน่งหน้าที่ของตนได้ส่วนกรมตำรวจไม่ใช่พนักงานสอบสวนและมิได้เป็นคู่สัญญาในสัญญาประกันจึงฟ้องเองหรือมอบอำนาจให้ฟ้องหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 130/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนการเวนคืน แม้มีการประกาศโฆษณาพระราชกฤษฎีกาแล้ว โจทก์ยังคงมีสิทธิได้รับค่าทดแทนที่เหมาะสม
แม้มีการประกาศโฆษณาพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงพิเศษสายพระประแดง-บางแค-ตลิ่งชัน-บางบัวทองตอนพระประแดง-บางแค-ตลิ่งชันพ.ศ.2523ในราชกิจจานุเบกษาแต่ก็มีผลเพียงให้เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายมีอำนาจดำเนินการแก่ที่ดินที่อยู่ในแนวทางหลวงดังกล่าวตามป.ว.ฉบับที่295ข้อ65(1)ถึง(4)หามีผลเป็นการห้ามโอนที่ดินดังกล่าวเป็นการเด็ดขาดไม่เมื่อโจทก์รับโอนที่ดินดังกล่าวมาโดยชอบย่อมมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนเมื่อเงินค่าทดแทนยังไม่เหมาะสมและเป็นธรรมโจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยที่1ให้รับผิดชำระส่วนที่ยังขาดอยู่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เทศบาลต้องรับผิดต่อความเสียหายจากต้นไม้ล้มทับเนื่องจากละเลยดูแล แม้ไม่มีเหตุสุดวิสัย
ต้นสนที่ล้มทับรถยนต์ของโจทก์เสียหายและโจทก์ได้รับอันตรายสาหัส มีสภาพผุกลวงอยู่ในความครอบครองดูแลของเทศบาลเมืองสงขลาจำเลยที่ 1วันเกิดเหตุมีฝนตกเล็กน้อยและปานกลางเป็นช่วงสั้น ๆ และมีฟ้าคะนอง ความเร็วลมเพียง 5 ถึง 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือเป็นความเร็วลมปกติ การที่ต้นสนดังกล่าวล้มลงทับรถของโจทก์จึงมิใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัย แต่เป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1ที่ไม่ยอมโค่นหรือค้ำจุนต้นสนดังกล่าวเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
ค่าเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิต โดยระบบประสาทไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ เสียสมรรถภาพทางเพศ และไม่สามารถเดินได้ กับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการทุพพลภาพตลอดชีวิตนั้น ถือเป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 ทั้งสองกรณี อันเนื่องมาจากเหตุที่ต่างกัน จึงแยกจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ให้ชดใช้ตามเหตุที่แยกออกจากกันเป็นแต่ละเหตุได้
ค่าเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิต โดยระบบประสาทไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ เสียสมรรถภาพทางเพศ และไม่สามารถเดินได้ กับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการทุพพลภาพตลอดชีวิตนั้น ถือเป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 ทั้งสองกรณี อันเนื่องมาจากเหตุที่ต่างกัน จึงแยกจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ให้ชดใช้ตามเหตุที่แยกออกจากกันเป็นแต่ละเหตุได้