พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,157 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เทศบาลต้องรับผิดต่อความเสียหายจากต้นไม้ล้มทับเนื่องจากละเลยดูแล แม้ไม่มีเหตุสุดวิสัย
ต้นสนที่ล้มทับรถยนต์ของโจทก์เสียหายและโจทก์ได้รับอันตรายสาหัส มีสภาพผุกลวงอยู่ในความครอบครองดูแลของเทศบาลเมืองสงขลาจำเลยที่ 1วันเกิดเหตุมีฝนตกเล็กน้อยและปานกลางเป็นช่วงสั้น ๆ และมีฟ้าคะนอง ความเร็วลมเพียง 5 ถึง 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือเป็นความเร็วลมปกติ การที่ต้นสนดังกล่าวล้มลงทับรถของโจทก์จึงมิใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัย แต่เป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1ที่ไม่ยอมโค่นหรือค้ำจุนต้นสนดังกล่าวเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
ค่าเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิต โดยระบบประสาทไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ เสียสมรรถภาพทางเพศ และไม่สามารถเดินได้ กับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการทุพพลภาพตลอดชีวิตนั้น ถือเป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 ทั้งสองกรณี อันเนื่องมาจากเหตุที่ต่างกัน จึงแยกจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ให้ชดใช้ตามเหตุที่แยกออกจากกันเป็นแต่ละเหตุได้
ค่าเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิต โดยระบบประสาทไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ เสียสมรรถภาพทางเพศ และไม่สามารถเดินได้ กับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการทุพพลภาพตลอดชีวิตนั้น ถือเป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 ทั้งสองกรณี อันเนื่องมาจากเหตุที่ต่างกัน จึงแยกจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ให้ชดใช้ตามเหตุที่แยกออกจากกันเป็นแต่ละเหตุได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7550/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนการบังคับคดีเมื่อคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงหรือหมายบังคับคดีถูกยกเลิก
การถอนการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 (3) มีสองกรณี กรณีแรกคำพิพากษาในระหว่างบังคับคดีได้ถูกกลับในชั้นที่สุด กรณีที่สองหมายบังคับคดีได้ถูกยกเลิกเสียเมื่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีได้ส่งคำสั่งให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งกรณีที่สองนี้แปลความได้ว่า ผู้ที่มีอำนาจสั่งยกเลิกหมายบังคับคดีก็คือศาลที่ออกหมายบังคับคดีอันได้แก่ศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย และจำเลยถูกเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาจนกระทั่งจำเลยต้องชำระเงินแก่โจทก์ไปบางส่วน แต่ในเมื่อต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำเงินที่รับชำระไปบางส่วนดังกล่าวนั้นมาคืนให้แก่จำเลยแสดงว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งยกเลิกหมายบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดีแล้ว จึงชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 295 (3)
ระหว่างการพิจารณาคดีนี้ในศาลฎีกา ปรากฏว่าคดีประธานของคดีนี้ ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ชนะคดีบางส่วน ซึ่งยังไม่ทราบจำนวนแน่นอน หากจำนวนเงินที่โจทก์ได้รับไปเกินกว่าที่โจทก์ชนะคดี โจทก์ก็ต้องคืนเงินส่วนที่เกินไปจากที่โจทก์ชนะคดีนั้นให้แก่จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย และจำเลยถูกเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาจนกระทั่งจำเลยต้องชำระเงินแก่โจทก์ไปบางส่วน แต่ในเมื่อต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำเงินที่รับชำระไปบางส่วนดังกล่าวนั้นมาคืนให้แก่จำเลยแสดงว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งยกเลิกหมายบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดีแล้ว จึงชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 295 (3)
ระหว่างการพิจารณาคดีนี้ในศาลฎีกา ปรากฏว่าคดีประธานของคดีนี้ ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ชนะคดีบางส่วน ซึ่งยังไม่ทราบจำนวนแน่นอน หากจำนวนเงินที่โจทก์ได้รับไปเกินกว่าที่โจทก์ชนะคดี โจทก์ก็ต้องคืนเงินส่วนที่เกินไปจากที่โจทก์ชนะคดีนั้นให้แก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7550/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนการบังคับคดีเมื่อศาลมีคำสั่งยกเลิกหมายบังคับคดี และการคืนเงินที่รับชำระเกินจำนวนที่ชนะคดี
การถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 295(3) มีสองกรณี กรณีแรกคำพิพากษาในระหว่างบังคับคดีได้ถูกกลับในชั้นที่สุด กรณีที่สองหมายบังคับคดีได้ถูกยกเลิกเสียเมื่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีได้ส่งคำสั่งให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งกรณีที่สองนี้แปลความได้ว่า ผู้ที่มีอำนาจสั่งยกเลิกหมายบังคับคดีก็คือศาลที่ออกหมายบังคับคดีอันได้แก่ศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย และจำเลยถูกเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาจนกระทั่งจำเลยต้องชำระเงินแก่โจทก์ไปบางส่วน แต่ในเมื่อต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำเงินที่รับชำระไปบางส่วนดังกล่าวนั้นมาคืนให้แก่จำเลยแสดงว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งยกเลิกหมายบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดีแล้วจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(3) ระหว่างการพิจารณาคดีนี้ในศาลฎีกา ปรากฏว่าคดีประธานของคดีนี้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ชนะคดีบางส่วนซึ่งยังไม่ทราบจำนวนแน่นอน หากจำนวนเงินที่โจทก์ได้รับไปเกินกว่าที่โจทก์ชนะคดี โจทก์ก็ต้องคืนเงินส่วนที่เกินไปจากที่โจทก์ชนะคดีนั้นให้แก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7452/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดกเสร็จสิ้นแล้ว ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิร้องขอถอนผู้จัดการมรดก
ตามคำร้องขอจัดการมรดกระบุว่า ทรัพย์มรดกของ ท. เจ้ามรดกที่ยังมิได้จัดการมีเพียงที่ดิน 5 แปลง การที่ศาลสั่งตั้งผู้ร้องและผู้จัดการมรดกร่วมทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของ ท. ก็เพื่อจะจัดการทรัพย์มรดกคือที่ดินทั้ง 5 แปลงดังกล่าวโดยเฉพาะ เมื่อผู้คัดค้านทั้งสองอ้างว่ามีพันธบัตรรัฐบาลอีก 6 ฉบับ เป็นทรัพย์มรดกของ ท.ซึ่งผู้คัดค้านทั้งสองมีส่วนแบ่งในฐานะทายาทอยู่ด้วย ผู้คัดค้านทั้งสองก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่ทายาทของ ท. เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก มิใช่เหตุที่จะมาร้องขอถอนผู้จัดการมรดกคดีนี้ ซึ่งไม่มีประเด็นข้อพิพาทให้วินิจฉัยว่า พันธบัตรรัฐบาลดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกด้วยหรือไม่
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้จัดการมรดกได้โอนที่ดินทรัพย์มรดกทั้ง5 แปลงให้แก่ทายาทของเจ้ามรดกไปหมดแล้วเมื่อปี 2529 ถือว่าการจัดการมรดกเสร็จสิ้นลงแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1727 วรรคแรก การที่ผู้คัดค้านทั้งสองมายื่นคำร้องขอถอนผู้จัดการมรดกร่วมทั้งสองเมื่อปี 2532 จึงไม่อาจกระทำได้
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้จัดการมรดกได้โอนที่ดินทรัพย์มรดกทั้ง5 แปลงให้แก่ทายาทของเจ้ามรดกไปหมดแล้วเมื่อปี 2529 ถือว่าการจัดการมรดกเสร็จสิ้นลงแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1727 วรรคแรก การที่ผู้คัดค้านทั้งสองมายื่นคำร้องขอถอนผู้จัดการมรดกร่วมทั้งสองเมื่อปี 2532 จึงไม่อาจกระทำได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7452/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดกเสร็จสิ้นแล้ว ไม่อาจถอนผู้จัดการมรดกได้ แม้มีข้อพิพาทเรื่องทรัพย์สินเพิ่มเติม
ตามคำร้องขอจัดการมรดกระบุว่า ทรัพย์มรดกของ ท.เจ้ามรดกที่ยังมิได้จัดการมีเพียงที่ดิน 5 แปลง การที่ศาลสั่งตั้งผู้ร้องและผู้จัดการมรดกร่วมทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของ ท.ก็เพื่อจะจัดการทรัพย์มรดกคือที่ดินทั้ง 5 แปลงดังกล่าว โดยเฉพาะเมื่อผู้คัดค้านทั้งสองอ้างว่ามีพันธบัตรรัฐบาลอีก 6 ฉบับ เป็นทรัพย์มรดกของท. ซึ่งผู้คัดค้านทั้งสองมีส่วนแบ่งในฐานะทายาทอยู่ด้วย ผู้คัดค้านทั้งสองก็ชอบที่จะไปว่า กล่าวเอาแก่ทายาทของท.เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก มิใช่เหตุที่จะมาร้องขอถอนผู้จัดการมรดกคดีนี้ ซึ่งไม่มีประเด็นข้อพิพาทให้วินิจฉัยว่า พันธบัตรรัฐบาลดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกด้วยหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฎว่า ผู้จัดการมรดกได้โอนที่ดินทรัพย์มรดกทั้ง5 แปลงให้แก่ทายาทของเจ้ามรดกไปหมดแล้วเมื่อปี 2529ถือว่าการจัดการมรดกเสร็จสิ้นลงแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727 วรรคแรก การที่ผู้คัดค้านทั้งสองมายื่นคำร้องขอถอนผู้จัดการมรดกร่วมทั้งสองเมื่อปี 2532จึงไม่อาจกระทำได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7366/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเวนคืนที่ดิน: การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการอุทธรณ์ค่าทดแทนทำให้ขาดสิทธิฟ้องร้อง
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2530 มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในส่วนที่ 3 การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวง ข้อ 63 ถึงข้อ 80 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 และมาตรา 9 วรรคสอง บัญญัติว่า การเวนคืนและการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวงที่ได้ปฏิบัติไปแล้วก่อนวันใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้เป็นอันใช้ได้ แต่การดำเนินการต่อไป ให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์คือดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 กรณีของโจทก์ขณะที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 พ.ศ. 2515(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2530 มีผลใช้บังคับการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ ยังไม่เสร็จสิ้น เพราะจำเลยยังไม่ได้กำหนดค่าตอบแทนที่ดินให้แก่โจทก์ ดังนั้นการดำเนินการต่อไปจึงต้องบังคับตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530ซึ่งตามมาตรา 25 วรรคหนึ่งกำหนดว่า ถ้าผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนการเวนคืนไม่พอใจในราคาของอสังหาริมทรัพย์หรือจำนวนเงินค่าทดแทน มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาภายใน 60 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือให้มารับเงินค่าทดแทน และตามมาตรา 26 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า ในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 25 ให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ แต่เมื่อจำเลยกำหนดค่าทดแทนที่ดินที่จะถูกเวนคืนให้แก่โจทก์แล้วโจทก์ได้รับเงินดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2531 โดยไม่ได้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 25 วรรคหนึ่ง ซึ่งเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ก็ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7366/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเวนคืนที่ดิน: สิทธิอุทธรณ์ค่าทดแทนและการฟ้องคดีหลังรับเงินแล้ว
พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2530 มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในส่วนที่ 3 การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวง ข้อ 63 ถึงข้อ 80 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 และมาตรา 9 วรรคสอง บัญญัติว่า การเวนคืนและการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวงที่ได้ปฏิบัติไปแล้วก่อนวันใช้บังคับพ.ร.บ.นี้เป็นอันใช้ได้ แต่การดำเนินการต่อไป ให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ คือดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 กรณีของโจทก์ขณะที่ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 พ.ศ.2515 (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2530 มีผลใช้บังคับการดำเนินการตาม พ.ร.ฎ. กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ ยังไม่เสร็จสิ้น เพราะจำเลยยังไม่ได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ ดังนั้นการดำเนินการต่อไปจึงต้องบังคับตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 ซึ่งตามมาตรา 25 วรรคหนึ่งกำหนดว่า ถ้าผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนการเวนคืนไม่พอใจในราคาของอสังหาริมทรัพย์หรือจำนวนเงินค่าทดแทน มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตาม พ.ร.ฎ. ภายใน 60 วันนับแต่วันได้รับหนังสือให้มารับเงินค่าทดแทน และตามมาตรา 26 วรรคหนึ่งกำหนดว่า ในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 25 ให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ แต่เมื่อจำเลยกำหนดค่าทดแทนที่ดินที่จะถูกเวนคืนให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์ได้รับเงินดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม2531 โดยไม่ได้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา25 วรรคหนึ่ง ซึ่งเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ก็ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7281/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขรก.ทำเอกสารเท็จแจ้งเกิด-เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน มีความผิดตามมาตรา 157 และ 162(4) เป็นกรรมเดียว
จำเลยเป็นข้าราชการสังกัดกรมการปกครองประจำที่ทำการปกครอง มีหน้าที่เกี่ยวกับงานทะเบียนราษฎร ได้กรอกข้อความในสูติบัตรและรับรองการแจ้งเกิดอันเป็นเท็จแล้วเพิ่มชื่อบุคคลลงในทะเบียนบ้านเป็นการกระทำด้วยเจตนาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันเป็นการกระทำกรรมเดียว การที่จำเลยจัดทำเอกสารเกี่ยวกับทะเบียนบ้านโดยฝ่าฝืนระเบียบที่กรมการปกครองกำหนดข้อบังคับไว้ ได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ราชการกรมการปกครองอยู่ในตัว เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7250/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกายกประเด็นพิพากษานอกประเด็นและส่งสำนวนกลับศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาประเด็นเจ้าของที่ดิน
โจทก์ฟ้องว่าบิดาโจทก์ขายทีดินพิพาทให้ ค.ต่อมาค.ขายที่ดินนั้นให้จำเลย โดยที่ดินพิพาทโจทก์คงมีส่วนอยู่กึ่งหนึ่งขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทส่วนนี้ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาทั้งแปลงและครอบครองตลอดมา ขอให้พิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ จำเลยมิได้ให้การยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และมิได้โต้แย้งการครอบครองโดยอ้างว่ามีการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ จึงไม่ประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองและการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นการพิพากษานอกประเด็นที่่พิพาทกัน และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาปัญหานี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนายที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่ในประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7250/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นการฟ้องแย้งสิทธิในที่ดินพิพาทและการพิพากษานอกประเด็นที่โจทก์ฟ้อง ย้อนสำนวนเพื่อวินิจฉัยสิทธิในที่ดิน
โจทก์ฟ้องว่าบิดาโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้ ค. ต่อมา ค.ขายที่ดินนั้นให้จำเลย โดยที่ดินพิพาทโจทก์คงมีส่วนอยู่กึ่งหนึ่ง ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทส่วนนี้ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาทั้งแปลงและครอบครองตลอดมา ขอให้พิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ จำเลยมิได้ให้การยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และมิได้โต้แย้งการครอบครองโดยอ้างว่ามีการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ จึงไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองและการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นการพิพากษานอกประเด็นที่พิพาทกัน และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาปัญหานี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) แต่คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่ในประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท