พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,157 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6135/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ เจ้าของรวม: การฟ้องคดีซ้ำในประเด็นเดียวกันเมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
คดีนี้และคดีก่อนจำเลยเป็นบุคคลเดียวกัน ที่ดินพิพาทแปลงเดียวกัน โจทก์ในคดีทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน และประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีเป็นอย่างเดียวกัน คือ โจทก์ทั้งสองคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ โดยฝ่ายโจทก์ต่างอ้างว่าได้รับมรดกที่ดินพิพาทมาจากบิดา เฉพาะโจทก์ทั้งสองในคดีก่อนได้ยืนยันด้วยว่า หลังจากรับที่ดินพิพาทมาแล้ว โจทก์ทั้งสองในคดีดังกล่าวกับโจทก์ในคดีนี้เข้าครอบครองทำประโยชน์ร่วมกันและแทนกันตลอดมาดังนี้ ตามพฤติการณ์แห่งคดีกรณีถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองคดีเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท เมื่อโจทก์ทั้งสองในคดีก่อนฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนกับโจทก์ในคดีนี้ จึงเป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่การเป็นเจ้าของรวมเพื่อต่อสู้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอก และเป็นการใช้สิทธิฟ้องแทนโจทก์ในคดีนี้ด้วย ตามป.พ.พ.มาตรา 1359 การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้อีกจึงเป็นการใช้สิทธิของเจ้าของรวมเมื่อคดีก่อนที่โจทก์ทั้งสองฟ้องนั้นมีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้และคดีดังกล่าวศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามป.พ.พ.มาตรา 148 ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6135/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: เจ้าของรวมฟ้องแย่งคืนที่ดินหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
คดีนี้และคดีก่อนจำเลยเป็นบุคคลเดียวกัน ที่ดินพิพาทแปลงเดียวกัน โจทก์ในคดีทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน และประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีเป็นอย่างเดียวกัน คือโจทก์ทั้งสองคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่โดยฝ่ายโจทก์ต่างอ้างว่าได้รับมรดกที่ดินมาจากบิดา เฉพาะโจทก์ทั้งสองในคดีก่อนได้ยืนยันด้วยว่า หลังจากรับที่ดินพิพาทมาแล้ว โจทก์ทั้งสองในคดีดังกล่าวกับโจทก์ในคดีนี้เข้าครอบครองทำประโยชน์ร่วมกันและแทนกันตลอดมา ดังนี้ ตามพฤติการณ์แห่งคดีกรณีถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองคดีเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทเมื่อโจทก์ทั้งสองในคดีก่อนฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนกับโจทก์ในคดีนี้ จึงเป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่การเป็นเจ้าของรวมเพื่อต่อสู้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นการใช้สิทธิฟ้องแทนโจทก์ในคดีนี้ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้อีกจึงเป็นการใช้สิทธิของเจ้าของรวม เมื่อคดีก่อนที่โจทก์ทั้งสองฟ้องนั้นมีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้และคดีดังกล่าวศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วจึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 148 ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6039/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกฟ้อง: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยภารจำยอมเกินขอบเขตประเด็นที่โจทก์กล่าวอ้าง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันนำดินถมลำรางสาธารณประโยชน์เพื่อสร้างตึกแถว โดยชายคาตึกแถวรุกล้ำลำรางสาธารณประโยชน์ทำให้โจทก์เสียหายนั้น โจทก์มิได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้องว่าร่องน้ำพิพาทเป็นภารจำยอมที่โจทก์ได้มาโดยอายุความแต่อย่างใดเมื่อจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธว่าร่องน้ำพิพาทมิใช่ลำรางสาธารณประโยชน์ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าร่องน้ำพิพาทเป็นภารจำยอมที่โจทก์ได้มาโดยอายุความหรือไม่ ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาเรื่องภารจำยอมขึ้นวินิจฉัยว่าร่องน้ำพิพาทเป็นภารจำยอม จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง นอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6035/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายสินค้า กรรมสิทธิ์โอนเมื่อทำสัญญา, การคืนสินค้าที่รับเกิน, และดอกเบี้ยจากราคาสินค้า
ข.ผู้รับมอบอำนาจช่วงของโจทก์เบิกความว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนตามกฎหมายประเทศอังกฤษ โจทก์มอบอำนาจให้ส.ฟ้องคดีนี้ได้ในประเทศไทยกับให้อำนาจส. มอบอำนาจช่วงได้ และ ส. มอบอำนาจให้ทนายฟ้องคดีนี้แทน โดยโจทก์มีเอกสารที่มีข้อความตรงตามที่ ช. พยานเบิกความทุกประการซึ่งเอกสารฉบับนี้มีโนตารีปับลิกและเลขานุการสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอนลงลายมือชื่อรับรอง จำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง กรณีไม่จำเป็นต้องนำเจ้าหน้าที่ของสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอนหรือผู้ทำเอกสารดังกล่าวมาสืบประกอบ โจทก์และจำเลยซื้อสินค้าเคมีภัณฑ์เหลวชนิดเดียวกัน เป็นการซื้อขายโดยกำหนดจำนวนหรือปริมาณและราคาของทรัพย์สินที่ซื้อขายกันแน่นอน โดยไม่ต้องหมาย หรือนับ ชั่ง ตวง วัด หรือคัดเลือกเพื่อให้บ่งตัวทรัพย์สินนั้นออกเป็นแน่นอนอีก ทั้งสินค้าดังกล่าวได้บรรทุกมาในเรือลำเดียวกัน เที่ยวเดียวกัน และบรรจุในแท็งก์เดียวกันด้วย ถือว่าเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกันแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 458 เมื่อจำเลยรับสินค้าเคมีภัณฑ์ซึ่งเป็นของโจทก์เกินไปจำเลยต้องคืนให้แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยถึงเรื่องที่จำเลยฎีกาเลย การที่จำเลยฎีกาเรื่องดังกล่าวโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่า ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเรื่องที่จำเลยฎีกาดังกล่าวไม่ชอบเพราะเหตุใดฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระราคาสินค้าพิพาทที่จำเลยเอาไปจากโจทก์โดยละเมิด โจทก์จึงมีสิทธิ เรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จะต้องใช้ คิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการประมาณราคานั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 440 ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าภาษีและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่จำเลยก็ต่อเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยคืนสินค้าพิพาทแก่โจทก์แล้ว การที่จำเลยจะต้องคืนสินค้าพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ ยังไม่เป็นที่แน่นอนโดยจะต้องรอจนศาลพิพากษาให้จำเลยคืนสินค้าพิพาทแก่โจทก์ตามฟ้องเดิมเสียก่อนจึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และ179 วรรคสุดท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6035/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, การซื้อขายสินค้าเคมีภัณฑ์, และฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข
ข.ผู้รับมอบอำนาจช่วงของโจทก์เบิกความว่า โจทก์เป็นนิติ-บุคคลจดทะเบียนตามกฎหมายประเทศอังกฤษ โจทก์มอบอำนาจให้ ส.ฟ้องคดีนี้ได้ในประเทศไทย กับให้อำนาจ ส.มอบอำนาจช่วงได้ และ ส.มอบอำนาจให้ทนายฟ้องคดีนี้แทน โดยโจทก์มีเอกสารที่มีข้อความตรงตามที่ ช.พยานเบิกความทุกประการ ซึ่งเอกสารฉบับนี้มีโนตารีปับลิกและเลขานุการสถานเอกอัครราชทูตไทย-ประจำกรุงลอนดอนลงลายมือชื่อรับรอง จำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง กรณีไม่จำเป็นต้องนำเจ้าหน้าที่ของสถานเอกอัครราชทูต-ไทยประจำกรุงลอนดอนหรือผู้ทำเอกสารดังกล่าวมาสืบประกอบ
โจทก์และจำเลยซื้อสินค้าเคมีภัณฑ์เหลวชนิดเดียวกัน เป็นการซื้อขายโดยกำหนดจำนวนหรือปริมาณและราคาของทรัพย์สินที่ซื้อขายกันแน่นอน โดยไม่ต้องหมาย หรือนับ ชั่ง ตวง วัด หรือคัดเลือก เพื่อให้บ่งตัวทรัพย์สินนั้นออกเป็นแน่นอนอีก ทั้งสินค้าดังกล่าวได้บรรทุกมาในเรือลำเดียวกัน เที่ยวเดียวกัน และบรรจุในแท็งก์เดียวกันด้วย ถือว่าเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกันแล้วตามป.พ.พ. มาตรา 458 เมื่อจำเลยรับสินค้าเคมีภัณฑ์ซึ่งเป็นของโจทก์เกินไปจำเลยต้องคืนให้แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยถึงเรื่องที่จำเลยฎีกาเลย การที่จำเลยฎีกาเรื่องดังกล่าวโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่า ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเรื่องที่จำเลยฎีกาดังกล่าวไม่ชอบเพราะเหตุใด ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้งไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระราคาสินค้าพิพาทที่จำเลยเอาไปจากโจทก์โดยละเมิด โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จะต้องใช้ คิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการประมาณราคานั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 440
ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าภาษีและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่จำเลยก็ต่อเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยคืนสินค้าพิพาทแก่โจทก์แล้ว การที่จำเลยจะต้องคืนสินค้าพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ ยังไม่เป็นที่แน่นอนโดยจะต้องรอจนศาลพิพากษาให้จำเลยคืนสินค้าพิพาทแก่โจทก์ตามฟ้องเดิมเสียก่อน จึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม และ 189วรรคสุดท้าย
โจทก์และจำเลยซื้อสินค้าเคมีภัณฑ์เหลวชนิดเดียวกัน เป็นการซื้อขายโดยกำหนดจำนวนหรือปริมาณและราคาของทรัพย์สินที่ซื้อขายกันแน่นอน โดยไม่ต้องหมาย หรือนับ ชั่ง ตวง วัด หรือคัดเลือก เพื่อให้บ่งตัวทรัพย์สินนั้นออกเป็นแน่นอนอีก ทั้งสินค้าดังกล่าวได้บรรทุกมาในเรือลำเดียวกัน เที่ยวเดียวกัน และบรรจุในแท็งก์เดียวกันด้วย ถือว่าเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกันแล้วตามป.พ.พ. มาตรา 458 เมื่อจำเลยรับสินค้าเคมีภัณฑ์ซึ่งเป็นของโจทก์เกินไปจำเลยต้องคืนให้แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยถึงเรื่องที่จำเลยฎีกาเลย การที่จำเลยฎีกาเรื่องดังกล่าวโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่า ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเรื่องที่จำเลยฎีกาดังกล่าวไม่ชอบเพราะเหตุใด ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้งไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระราคาสินค้าพิพาทที่จำเลยเอาไปจากโจทก์โดยละเมิด โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จะต้องใช้ คิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการประมาณราคานั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 440
ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าภาษีและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่จำเลยก็ต่อเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยคืนสินค้าพิพาทแก่โจทก์แล้ว การที่จำเลยจะต้องคืนสินค้าพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ ยังไม่เป็นที่แน่นอนโดยจะต้องรอจนศาลพิพากษาให้จำเลยคืนสินค้าพิพาทแก่โจทก์ตามฟ้องเดิมเสียก่อน จึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม และ 189วรรคสุดท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6030/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาชำระหนี้ทั้งหมดแทนลูกหนี้ แม้มีข้อความอ้างอิงหนี้เดิม ย่อมไม่จำกัดความรับผิดเฉพาะวงเงินค้ำประกัน
แม้ข้อความตอนต้นในหนังสือแสดงเจตนาชำระหนี้แทน ก. จะกล่าวเท้าความถึงหนี้ของ ก. ที่โจทก์ค้ำประกันว่า เป็นหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน แต่ตอนต่อมาโจทก์ได้ตกลงยินยอมชำระหนี้ที่ ก.มีต่อจำเลยที่ 1 ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังยินยอมให้จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนพันธบัตรที่โจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้นำเงินมาชำระหนี้ของ ก. ทั้งหมด โดยมิได้กำหนดเงื่อนไขความรับผิดไว้ ทั้ง ๆ ที่โจทก์ทราบแล้วว่าขณะนั้น ก. เป็นหนี้จำเลยที่ 1 เกินวงเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี กรณีจึงต้องถือว่าโจทก์ประสงค์จะชำระหนี้ของ ก. ที่มีต่อจำเลยที่ 1 โดยสิ้นเชิง หาใช่ยอมรับผิดเพียงไม่เกินวงเงินตามสัญญาค้ำประกันไม่
แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์จะเบิกความว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือแสดงเจตนาชำระหนี้แทน ก. โดยสำคัญผิด แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวมิได้เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี เป็นเรื่องนอกประเด็น ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขี้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์จะเบิกความว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือแสดงเจตนาชำระหนี้แทน ก. โดยสำคัญผิด แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวมิได้เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี เป็นเรื่องนอกประเด็น ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขี้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6030/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาชำระหนี้ทั้งหมดแม้เกินวงเงินค้ำประกัน ถือเป็นการประสงค์ชำระหนี้โดยสิ้นเชิง
แม้ข้อความตอนต้นในหนังสือแสดงเจตนาชำระหนี้แทน ก.จะกล่าวเท้าความถึงหนี้ของ ก. ที่โจทก์ค้ำประกันว่า เป็นหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน แต่ตอนต่อมาโจทก์ได้ตกลงยินยอมชำระหนี้ที่ ก. มีต่อจำเลยที่ 1 ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังยินยอมให้จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนพันธบัตรที่โจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้นำเงินมาชำระหนี้ของ ก. ทั้งหมดโดยมิได้กำหนดเงื่อนไขความรับผิดไว้ ทั้ง ๆ ที่โจทก์ทราบแล้วว่าขณะนั้น ก. เป็นหนี้จำเลยที่ 1 เกินวงเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี กรณีจึงต้องถือว่าโจทก์ประสงค์จะชำระหนี้ของ ก. ที่มีต่อจำเลยที่ 1 โดยสิ้นเชิง หาใช่ยอมรับผิดเพียงไม่เกินวงเงินตามสัญญาค้ำประกันไม่ แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์จะเบิกความว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือแสดงเจตนาชำระหนี้แทน ก. โดยสำคัญผิด แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวมิได้เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี เป็นเรื่องนอกประเด็นถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5866/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทสัญญาซื้อขายเยื่อใยสั้น: ความรับผิดชำรุดบกพร่องและอายุความฟ้องร้อง
สัญญาซื้อขายเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อย ข้อ 1 ข้อ 2และข้อ 4 ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่า ผู้ซื้อตกลงซื้อและผู้ขายตกลงขายสินค้าดังกล่าวมีรายการคุณภาพตามสัญญาข้อ 1.1 โดยผู้ขายรับรองว่าเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยที่ขายให้ผู้ซื้อมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ และเมื่อทำการตรวจสอบต้องมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ด้วย การตรวจสอบจะต้องให้ผู้ตรวจสอบในต่างประเทศทำการตรวจสอบและออกใบรับรองให้เป็นไปตามที่ตกลงซื้อขายกันเสียก่อนจึงจะส่งลงเรือได้ และผู้ซื้อจะให้สถาบันตรวจสอบวิเคราะห์ของทางราชการทำการตรวจสอบหรือวิเคราะห์คุณภาพ โดยให้ถือว่าผลการตรวจสอบหรือวิเคราะห์คุณภาพของสถาบันนี้เป็นที่สุด ถ้าเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยที่วิเคราะห์แล้วไม่เป็นไปตามรายการคุณภาพตามสัญญาข้อ 1.1 ผู้ซื้อจะรับไว้ทั้งหมดหรือไม่รับทั้งหมดหรือจะรับไว้เป็นบางส่วนก็ได้ ถ้าผู้ซื้อรับไว้ทั้งหมดหรือรับไว้เป็นบางส่วนก็ดี ผู้ซื้อจะลดราคาตามส่วนคุณภาพที่ด้อยลง ข้อสัญญานี้เป็นเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขาย
โจทก์กล่าวในฟ้องยืนยันว่า จำเลยกระทำผิดข้อสัญญาโดยส่งมอบเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยให้แก่โจทก์ แต่รายการคุณภาพความยาวเมื่อขาดหน่วยเป็นเมตรต่ำกว่าที่กำหนดไว้ 5,000 เมตร เป็น 4,180 เมตร การด้อยคุณภาพของเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนำเยื่อใยยาวมาผสมเพิ่มขึ้นให้ได้มาตรฐานคิดเป็นจำนวน 276,083.58 บาท ขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ขายรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามคำฟ้องแสดงชัดว่าโจทก์ฟ้องตามข้อสัญญาเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขายเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ฟ้องบังคับตามข้อสัญญาในเรื่องอื่น อีกทั้งตามสัญญาข้อ 7 และข้อ 8 ซึ่งเป็นกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาอันมีผลทำให้ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือมีสิทธิเรียกเบี้ยปรับต่อกัน ก็มิได้กล่าวให้มีผลบังคับถึงสัญญาข้อ 4 ในเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขายแต่อย่างใด กรณีตามฟ้องจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดฐานส่งมอบสินค้าที่ชำรุดบกพร่องให้โจทก์ไม่ใช่ฟ้องให้รับผิดฐานผิดสัญญาซื้อขายจึงต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 474
โจทก์กล่าวในฟ้องยืนยันว่า จำเลยกระทำผิดข้อสัญญาโดยส่งมอบเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยให้แก่โจทก์ แต่รายการคุณภาพความยาวเมื่อขาดหน่วยเป็นเมตรต่ำกว่าที่กำหนดไว้ 5,000 เมตร เป็น 4,180 เมตร การด้อยคุณภาพของเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนำเยื่อใยยาวมาผสมเพิ่มขึ้นให้ได้มาตรฐานคิดเป็นจำนวน 276,083.58 บาท ขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ขายรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามคำฟ้องแสดงชัดว่าโจทก์ฟ้องตามข้อสัญญาเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขายเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ฟ้องบังคับตามข้อสัญญาในเรื่องอื่น อีกทั้งตามสัญญาข้อ 7 และข้อ 8 ซึ่งเป็นกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาอันมีผลทำให้ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือมีสิทธิเรียกเบี้ยปรับต่อกัน ก็มิได้กล่าวให้มีผลบังคับถึงสัญญาข้อ 4 ในเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขายแต่อย่างใด กรณีตามฟ้องจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดฐานส่งมอบสินค้าที่ชำรุดบกพร่องให้โจทก์ไม่ใช่ฟ้องให้รับผิดฐานผิดสัญญาซื้อขายจึงต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 474
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5866/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีชำรุดบกพร่องสินค้า: นับแต่วันพบความชำรุด ไม่ใช่วันส่งมอบ
สัญญาซื้อขายเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟต ชานอ้อย ข้อ 1 ข้อ 2และข้อ 4 ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่า ผู้ซื้อตกลงซื้อและผู้ขายตกลงขายสินค้าดังกล่าวมีรายการคุณภาพตามสัญญาข้อ 1.1 โดยผู้ขายรับรองว่าเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟต ชานอ้อยที่ขายให้ผู้ซื้อมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ และเมื่อทำการตรวจสอบต้องมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ด้วย การตรวจสอบจะต้องให้ผู้ตรวจสอบในต่างประเทศทำการตรวจสอบและออกใบรับรองให้เป็นไปตามที่ตกลงซื้อขายกันเสียก่อนจึงจะส่งลงเรือได้ และผู้ซื้อจะให้สถาบันตรวจสอบวิเคราะห์ของทางราชการทำการตรวจสอบหรือวิเคราะห์คุณภาพ โดยให้ถือว่าผลการตรวจสอบหรือวิเคราะห์คุณภาพของสถาบันนี้เป็นที่สุด ถ้าเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟต ชานอ้อยที่วิเคราะห์แล้วไม่เป็นไปตามรายการคุณภาพตามสัญญาข้อ 1.1 ผู้ซื้อจะรับไว้ทั้งหมดหรือไม่รับทั้งหมดหรือจะรับไว้เป็นบางส่วนก็ได้ ถ้าผู้ซื้อรับไว้ทั้งหมดหรือรับไว้เป็นบางส่วนก็ดี ผู้ซื้อจะลดราคาตามส่วนคุณภาพที่ด้อยลง ข้อสัญญานี้เป็นเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขาย โจทก์กล่าวในฟ้องยืนยันว่า จำเลยกระทำผิดข้อสัญญาโดยส่งมอบเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยให้แก่โจทก์ แต่รายการคุณภาพความยาวเมื่อขาดหน่วยเป็นเมตรต่ำกว่าที่กำหนดไว้5,000 เมตร เป็น 4,180 เมตร การด้อยคุณภาพของเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนำเยื่อใยยาวมาผสมเพิ่มขึ้นให้ได้มาตรฐานคิดเป็นจำนวน 276,083.58 บาท ขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ขายรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามคำฟ้องแสดงชัดว่าโจทก์ฟ้องตามข้อสัญญาเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขายเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ฟ้องบังคับตามข้อสัญญาในเรื่องอื่น อีกทั้งตามสัญญาข้อ 7 และข้อ 8 ซึ่งเป็นกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญา อันมีผลทำให้ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือมีสิทธิเรียกเบี้ยปรับต่อกัน ก็มิได้กล่าวให้มีผลบังคับถึงสัญญาข้อ 4 ในเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขายแต่อย่างใด กรณีตามฟ้องจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดฐานส่งมอบสินค้าที่ชำรุดบกพร่องให้โจทก์ไม่ใช่ฟ้องให้รับผิดฐานผิดสัญญาซื้อขายจึงต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 474
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5846/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ร่วมสามีภรรยา: โจทก์มีภาระพิสูจน์การเป็นหนี้ร่วมเกี่ยวกับสินสมรส หากพิสูจน์ไม่ได้ ผู้ร้องมีสิทธิขอส่วนแบ่งทรัพย์สิน
หนี้ของจำเลยเกิดขึ้นก่อนที่จำเลยหย่ากับผู้ร้อง เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าหนี้ของจำเลยรายนี้เป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องเพื่อให้ผู้ร้องต้องรับผิดชำระหนี้จากสินสมรสและสินส่วนตัว โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้างเมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้รับฟังได้เช่นนั้น ผู้ร้องย่อมไม่ต้องผูกพันในมูลหนี้ดังกล่าวและผู้ร้องมีสิทธิร้องขอกันส่วนของตนในที่ดินสินสมรสที่โจทก์นำยึดเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้