พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,157 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1455/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงจากการปกปิดข้อเท็จจริงการอุทิศที่ดิน การฟ้องคดีไม่ขาดอายุความ
จำเลยโอนขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ ทั้งที่ได้อุทิศที่ดินให้ทางราชการสร้างอ่างเก็บน้ำแล้ว แต่ไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ ทำให้โจทก์หลงเชื่อซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวงโจทก์โดยการปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ.มาตรา 341
แม้โจทก์จะมิได้นำสืบในชั้นพิจารณาถึงวันที่โจทก์ได้ไปดูและเห็นที่ดินพิพาทเป็นอ่างเก็บน้ำอันเป็นวันที่โจทก์ได้รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดว่าเป็นวันใด โดยเบิกความว่า ได้ไปดูที่ดินพิพาทในเดือนกุมภาพันธ์2533 แต่โจทก์ก็ได้เบิกความไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า วันดังกล่าวคือวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2533 จึงฟังได้ว่าโจทก์ทราบถึงการกระทำผิดเมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 21 พฤษภาคม 2533 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 96
แม้โจทก์จะมิได้นำสืบในชั้นพิจารณาถึงวันที่โจทก์ได้ไปดูและเห็นที่ดินพิพาทเป็นอ่างเก็บน้ำอันเป็นวันที่โจทก์ได้รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดว่าเป็นวันใด โดยเบิกความว่า ได้ไปดูที่ดินพิพาทในเดือนกุมภาพันธ์2533 แต่โจทก์ก็ได้เบิกความไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า วันดังกล่าวคือวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2533 จึงฟังได้ว่าโจทก์ทราบถึงการกระทำผิดเมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 21 พฤษภาคม 2533 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 96
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1455/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกง – อายุความ – วันรู้ความผิด – ฟังได้จากชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
แม้โจทก์จะมิได้นำสืบในชั้นพิจารณาถึงวันที่โจทก์ได้รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด โดยนำสืบแต่เพียงว่า ได้ไปดูที่ดินพิพาทในเดือนกุมภาพันธ์ 2533 แต่โจทก์ได้เบิกความไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดเมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2533 เมื่อนำคำพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องมาฟังประกอบคำเบิกความพยานโจทก์ในชั้นพิจารณาแล้ว ฟังได้ว่าโจทก์ทราบถึงการกระทำผิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ฟ้องวันที่ 21พฤษภาคม 2533 จึงไม่เกินกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่โจทก์ทราบถึงการกระทำผิด คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 96
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1429/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเช่าซื้อผิดนัด: ค่าใช้ทรัพย์สิน ไม่ใช่ค่าเช่าค้าง
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 บัญญัติไว้แต่เพียงว่า เมื่อมีการเลิกสัญญาเพราะผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิริบเงินที่ผู้ให้เช่าซื้อรับไว้และกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อเท่านั้น ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างก่อนสัญญาเลิกกัน คงเรียกได้เพียงค่าที่จำเลยใช้ทรัพย์ที่เช่าซื้อตลอดเวลาที่ครอบครองอยู่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรค 3และค่าเสียหายเพราะเหตุอื่นที่จำเลยต้องรับผิดนอกเหนือจากค่าเสียหายอันเกิดแต่การใช้ทรัพย์โดยชอบ
แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุมาเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้าง แต่ตามคำบรรยายฟ้องกล่าวว่า การที่จำเลยผิดนัดผิดสัญญาต่อโจทก์จนโจทก์บอกเลิกสัญญาและยึดรถที่เช่าซื้อกลับคืน ทำให้โจทก์เสียหาย คือจำเลยครอบครองใช้รถของโจทก์โดยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 11 ถึงงวดที่ 17 เป็นเงิน 58,053 บาทจึงพอถือได้ว่าโจทก์ได้เรียกค่าเสียหายฐานใช้รถของโจทก์ตลอดเวลาที่จำเลยยังครอบครองอยู่ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายได้
แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุมาเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้าง แต่ตามคำบรรยายฟ้องกล่าวว่า การที่จำเลยผิดนัดผิดสัญญาต่อโจทก์จนโจทก์บอกเลิกสัญญาและยึดรถที่เช่าซื้อกลับคืน ทำให้โจทก์เสียหาย คือจำเลยครอบครองใช้รถของโจทก์โดยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 11 ถึงงวดที่ 17 เป็นเงิน 58,053 บาทจึงพอถือได้ว่าโจทก์ได้เรียกค่าเสียหายฐานใช้รถของโจทก์ตลอดเวลาที่จำเลยยังครอบครองอยู่ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1429/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อผิดนัด: สิทธิของผู้ให้เช่าซื้อในการเรียกค่าเสียหายจากการใช้ทรัพย์สิน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 บัญญัติไว้แต่เพียงว่า เมื่อมีการเลิกสัญญาเพราะผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิริบเงินที่ผู้ให้เช่าซื้อรับไว้และกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อเท่านั้น ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างก่อนสัญญาเลิกกันคงเรียกได้เพียงค่าที่จำเลยใช้ทรัพย์ที่เช่าซื้อตลอดเวลาที่ครอบครองอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรค 3 และค่าเสียหายเพราะเหตุอื่นที่จำเลยต้องรับผิดนอกเหนือจากค่าเสียหายอันเกิดแต่การใช้ทรัพย์โดยชอบ แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุมาเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้าง แต่ตามคำบรรยายฟ้องกล่าวว่า การที่จำเลยผิดนัดผิดสัญญาต่อโจทก์จนโจทก์บอกเลิกสัญญาและยึดรถที่เช่าซื้อกลับคืน ทำให้โจทก์เสียหายคือจำเลยครอบครองใช้รถของโจทก์โดยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 11 ถึงงวดที่ 17 เป็นเงิน 58,053 บาท จึงพอถือได้ว่าโจทก์ได้เรียกค่าเสียหายฐานใช้รถของโจทก์ตลอดเวลาที่จำเลยยังครอบครองอยู่ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้และการสะดุดหยุดของอายุความตาม ป.พ.พ.
หนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำไว้กับโจทก์เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฝ่ายเดียว โดยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริงโจทก์หาได้ลงลายมือชื่อ โดยมีการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ลูกหนี้หรือสาระสำคัญแห่งหนี้อันจะถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 349 ไม่ จึงไม่ทำให้มูลหนี้-เดิมระงับสิ้นไปเกิดเป็นมูลหนี้ใหม่ คือมูลหนี้เงินที่ต้องผ่อนชำระทุนคืนเป็นงวด ๆตามหนังสือรับสภาพหนี้ ซึ่งมีอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2)ที่แก้ไขใหม่
เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) ที่แก้ไขใหม่ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดคือวันที่ 4 เมษายน 2523ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์ ซึ่งนับถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี หนี้ตามคำขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและหนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทซึ่งจำเลยที่ 3 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ จึงไม่ขาดอายุความ
เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) ที่แก้ไขใหม่ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดคือวันที่ 4 เมษายน 2523ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์ ซึ่งนับถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี หนี้ตามคำขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและหนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทซึ่งจำเลยที่ 3 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้และการรับสภาพหนี้ใหม่: ผลต่อการฟ้องล้มละลาย
หนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำไว้กับโจทก์เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฝ่ายเดียว โจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือดังกล่าวไม่มีผลให้มีการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ลูกหนี้ หรือสาระสำคัญอันจะถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 จึงไม่ทำให้มูลหนี้เดิมระงับเมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์ ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1)ที่แก้ไขใหม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ วันที่4 เมษายน 2523 นับอายุความใหม่จนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2533อันเป็นวันที่โจทก์ฟ้องคดียังไม่เกิน 10 ปี หนี้ตามคำขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและหนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีท ซึ่งจำเลยที่ 3 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้และการรับสภาพหนี้: ผลต่อการฟ้องล้มละลาย
หนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำไว้กับโจทก์เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฝ่ายเดียว โดยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริงโจทก์หาได้ลงลายมือชื่อ โดยมีการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ลูกหนี้หรือสาระสำคัญแห่งหนี้อันจะถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 ไม่ จึงไม่ทำให้มูลหนี้เดิมระงับสิ้นไปเกิดเป็นมูลหนี้ใหม่ คือมูลหนี้เงินที่ต้องผ่อนชำระทุนคืนเป็นงวด ๆ ตามหนังสือรับสภาพหนี้ ซึ่งมีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33(2) ที่แก้ไขใหม่ เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14(1) ที่แก้ไขใหม่ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดคือวันที่ 4 เมษายน 2523 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์ ซึ่งนับถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี หนี้ตามคำขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและหนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทซึ่งจำเลยที่ 3ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1150/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา: การใช้รายได้ 1 ปี ชำระหนี้ และการแต่งตั้งผู้จัดการทรัพย์
ความหมายแห่งบทบัญญัติ ป.วิ.พ.มาตรา 307 ให้ใช้รายได้1 ปี มาชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามคำพิพากษา มิใช่ให้ผ่อนชำระเป็นรายปีแล้วแต่ลูกหนี้จะผ่อนชำระได้
จำเลยที่ 2 มิได้มีรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกยึด จึงไม่อาจตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการทรัพย์แทนการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้
จำเลยที่ 2 มิได้มีรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกยึด จึงไม่อาจตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการทรัพย์แทนการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1150/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดี: การตั้งผู้จัดการทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้จากรายได้ประจำปีตามมาตรา 307 คพพ.
ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307 ว่าด้วยวิธีการอย่างอื่นแทนการขายทอดตลาดเป็นบทบัญญัติคุ้มครองผลประโยชน์และส่วนได้เสียของลูกหนี้ตามคำพิพากษาในชั้นบังคับคดี ซึ่งทำให้อาจปลดเปลื้องหนี้สินตามคำพิพากษาได้ โดยไม่ต้องมีการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้และจะไม่เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หากรายได้จากอสังหาริมทรัพย์หรือการประกอบกิจการของลูกหนี้เมื่อคำนวณประจำปีแล้วอาจเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ซึ่งเมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาร้องขอศาลอาจมีคำสั่งตั้งผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์หรือการประกอบกิจการเหล่านั้นและบังคับให้มอบรายได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายในเวลาและกำหนดตามที่ศาลเห็นสมควรแทนการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หาใช่ให้ผ่อนชำระเป็นรายปีแล้วแต่ลูกหนี้จะผ่อนชำระได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1150/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามมาตรา 307: รายได้ประจำปีเพียงพอชำระหนี้ได้ ศาลสั่งตั้งผู้จัดการทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ มิใช่ผ่อนชำระรายปี
ความหมายแห่งบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 307 ให้ใช้รายได้ 1 ปี มาชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามคำพิพากษามิใช่ให้ผ่อนชำระเป็นรายปีแล้วแต่ลูกหนี้จะผ่อนชำระได้ จำเลยที่ 2 มิได้มีรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกยึดจึงไม่อาจตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการทรัพย์แทนการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้