พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,157 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4186/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถจักรยานยนต์ที่ใช้หลบหนีหลังก่ออาชญากรรม ศาลฎีกาตัดสินว่าไม่เข้าข่ายการริบหากไม่ได้ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง
จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของกลางไปจอดรอพวกของจำเลย และเมื่อพวกของจำเลยชิงทรัพย์ของผู้เสียหายเสร็จ ก็กลับมานั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยแล้วจำเลยขับหลบหนีไป พฤติการณ์ของจำเลยกับพวก เป็นเพียงการใช้รถจักรยานยนต์ของกลางไปและกลับจากการกระทำความผิด เพื่อให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้นไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางในการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) จึงริบรถจักรยานยนต์ของกลางไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4086/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาสนับสนุนการกระทำผิดฐานแปรรูปไม้และมีไม้หวงห้าม: การกระทำของลูกจ้าง
เมื่อจำเลยทั้งสองรู้ว่าโรงงานที่จำเลยทั้งสองทำงานเป็นโรงงานที่ไม่ได้รับอนุญาต ไม้สักแปรรูปที่ใช้ทำเครื่องประดิษฐ์เป็นไม้แปรรูปที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายแต่จำเลยทั้งสองยังยินยอมทำงานเป็นลูกจ้างของเจ้าของโรงงาน ถือได้ว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนาเป็นผู้สนับสนุนเจ้าของโรงงาน กระทำความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้และฐานมีสิ่งประดิษฐ์อันทำด้วยไม้หวงห้าม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4086/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สนับสนุนการกระทำผิดป่าไม้: คนงานโรงงานแปรรูปไม้ผิดฐานสนับสนุนเจ้าของโรงงาน
การที่จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าโรงงานแปรรูปไม้ที่จำเลยทั้งสองทำงานอยู่เป็นโรงงานที่ไม่ได้รับอนุญาต และไม้สักแปรรูปที่ใช้ทำเครื่องประดิษฐ์เป็นไม้แปรรูปที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายแต่จำเลยทั้งสองยังยินยอมทำงานเป็นลูกจ้างของเจ้าของโรงงานเช่นนี้ถือได้ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าของโรงงานกระทำความผิดต่อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4070/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยายจากการยินยอมให้ใช้ประโยชน์และการสนับสนุนการซ่อมแซมโดยเจ้าของและหน่วยงาน
การที่บิดาจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมและจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของสืบต่อมายินยอมให้บุคคลทั่วไปใช้ถนนพิพาทเป็นเวลาถึง20 กว่าปี โดยได้สร้างรั้วคอนกรีตเป็นแนวเขตระหว่างบ้านกับถนนพิพาทมาเป็นเวลากว่า 20 ปี ตลอดจนมีการเรี่ยไรเงินและการทางซ่อมถนนพิพาทหลายครั้ง ทั้งราชการก็ใช้งบประมาณซื้อลูกรังมาช่วยด้วยโดยที่เจ้าของที่ดินมิได้หวงห้ามหรือสงวนสิทธิ์ย่อมถึงได้ว่าเจ้าของที่ดินได้อุทิศถนนพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4070/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยายจากการยินยอมให้ใช้ประโยชน์โดยไม่หวงห้าม
การที่บิดาจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมและจำเลย ซึ่งเป็นเจ้าของสืบต่อมายินยอมให้บุคคลทั่วไปใช้ถนนพิพาทเป็นเวลาถึง 20 กว่าปี โดยได้สร้างรั้วคอนกรีตเป็นแนวเขตระหว่างบ้านกับถนนพิพาทมาเป็นเวลา กว่า 20 ปี ตลอดจนมีการเรี่ยไรเงินและการทางซ่อมถนนพิพาทหลายครั้ง ทั้งราชการก็ใช้งบประมาณซื้อลูกรังมาช่วยด้วย โดยที่เจ้าของที่ดินมิได้หวงห้ามหรือสงวนสิทธิ์ย่อมถึงได้ว่าเจ้าของที่ดินได้อุทิศถนนพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4046/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงเอาเอกสารสิทธิถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกง แม้ไม่ใช่การทำลายเอกสาร
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยหลอกลวงเอาเอกสารสิทธิของโจทก์ไปจากภริยาโจทก์โดยทุจริต แต่จำเลยไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ.มาตรา 341 เพราะการเอาไปไม่ใช่การถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้หลอกลวงเอาเอกสารสิทธิของโจทก์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
เอกสารสัญญาแม้เป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียวก็ถือว่าเป็นทรัพย์จำเลยหลอกลวงเอาเอกสารสัญญาดังกล่าวไปจากภริยาโจทก์โดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341
คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
เอกสารสัญญาแม้เป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียวก็ถือว่าเป็นทรัพย์จำเลยหลอกลวงเอาเอกสารสัญญาดังกล่าวไปจากภริยาโจทก์โดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4046/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงด้วยการหลอกลวงเอาเอกสารสัญญา แม้เป็นกระดาษแผ่นเดียว ก็ถือเป็นทรัพย์สินทางอาญาได้
ความผิดฐานฉ้อโกงตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 นอกจากจะเป็นการหลอกลวงผู้อื่นให้ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิแล้วยังบัญญัติว่า โดยการหลอกลวงนั้นทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้หลอกลวงหรือบุคคลที่สามด้วย เอกสารสัญญาแม้จะเป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียวก็ถือว่าเป็นทรัพย์ เมื่อจำเลยหลอกลวงเอาเอกสารสัญญาของโจทก์ไป จึงเป็นความผิดฐานล้อโกง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4046/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงโดยหลอกลวงเอาเอกสารสิทธิ แม้เป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียว ก็ถือเป็นทรัพย์ได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยหลอกลวงเอาเอกสารสิทธิของโจทก์ไปจากภริยาโจทก์โดยทุจริต แต่จำเลยไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 เพราะการเอาไปไม่ใช่การถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้หลอกลวงเอาเอกสารสิทธิของโจทก์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เอกสารสัญญาแม้เป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียวก็ถือว่าเป็นทรัพย์จำเลยหลอกลวงเอาเอกสารสัญญาดังกล่าวไปจากภริยาโจทก์โดยทุจริตจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3936/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาท: ผลผูกพันคำวินิจฉัยศาลเดิมและอำนาจฟ้อง
ในคดีก่อน ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้คัดค้านดำเนินการโอนที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน และสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านพิพาท แต่คดีนี้ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านถอนการยึดบ้านพิพาทโดยกล่าวอ้างว่า บ้านพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านพิพาทก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ทั้งสองคดีมิได้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกัน คำร้องขอของผู้ร้องทั้งสี่ในคดีนี้ จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลอันเกี่ยวกับคดีที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 ประกอบด้วย พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 แต่ที่ผู้ร้องทั้งสี่กับผู้คัดค้านเป็นคู่ความเดียวกันในคดีก่อนและทั้งสองคดีก็พิพาทกันในมูลกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทเดียวกัน การที่ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านโอนบ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านในคดีก่อน เท่ากับยอมรับว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้ยกคำร้องในส่วนนี้ และผู้ร้องทั้งสี่มิได้อุทธรณ์ คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในคดีก่อนจึงผูกพันผู้ร้องทั้งสี่และผู้คัดค้าน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145ประกอบ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 ศาลในคดีนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ของผู้ร้องทั้งสี่ ผู้ร้องทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ผู้คัดค้านเพิกถอนการยึดได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3936/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์บ้านพิพาทในคดีล้มละลาย: ผลผูกพันคำวินิจฉัยเดิม และอำนาจฟ้อง
ในคดีก่อน ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้คัดค้านดำเนินการโอนที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน และสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านพิพาทแต่คดีนี้ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านถอนการยึดบ้านพิพาทโดยกล่าวอ้างว่า บ้านพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านพิพาทก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ทั้งสองคดีมิได้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกัน คำร้องขอของผู้ร้องทั้งสี่ในคดีนี้ จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลอันเกี่ยวกับคดีที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153แต่ที่ผู้ร้องทั้งสี่กับผู้คัดค้านเป็นคู่ความเดียวกันในคดีก่อนและทั้งสองคดีก็พิพาทกันในมูลกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทเดียวกัน การที่ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านโอนบ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านในคดีก่อน เท่ากับยอมรับว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้ยกคำร้องในส่วนนี้ และผู้ร้องทั้งสี่มิได้อุทธรณ์ คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในคดีก่อนจึงผูกพันผู้ร้องทั้งสี่และผู้คัดค้าน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ศาลในคดีนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ของผู้ร้องทั้งสี่ ผู้ร้องทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ผู้คัดค้านเพิกถอนการยึดได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้อง ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้