คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เสมอ อินทรศักดิ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 571 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1532/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งการประเมินภาษีหลังเลิกบริษัท การแจ้งไปยังผู้ไม่มีอำนาจทำให้หนี้ภาษีไม่แน่นอน และไม่สามารถฟ้องล้มละลายได้
การที่เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์มีหมายเรียกถึงผู้จัดการของจำเลยภายหลังที่จำเลยได้จดทะเบียนเลิกบริษัท เพื่อให้ไปให้ถ้อยคำและชี้แจงเกี่ยวกับภาษีรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2517-2518 โดยมิได้มีหมายเรียกไปถึงผู้ชำระบัญชีซึ่งมีอำนาจหน้าที่จึงไม่ชอบและแม้ผู้จัดการของจำเลยได้มอบอำนาจให้ผู้ชำระบัญชีไปให้ถ้อยคำชี้แจงต่อเจ้าพนักงานของโจทก์ก็เป็นการมอบอำนาจที่ผู้มอบอำนาจไม่มีอำนาจจะกระทำได้มาแต่ต้นจึงไม่มีผลแต่อย่างใด และไม่อาจถือได้ว่าผู้ชำระบัญชีได้ทราบโดยชอบแล้ว เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์มีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายกับภาษีเงินได้นิติบุคคลไปยังกรรมการและผู้จัดการของจำเลยซึ่งไม่มีอำนาจเป็นการแจ้งการประเมินโดยไม่ชอบ กรรมการหรือผู้จัดการผู้มีอำนาจดำเนินการแทนนิติบุคคลนั้นย่อมหมายถึงกรรมการหรือผู้จัดการที่มีอำนาจดำเนินการแทนโดยชอบอยู่มิได้หมายความถึงกรรมการหรือผู้จัดการที่ไม่มีอำนาจแล้ว กรณีที่จำเลยจดทะเบียนเลิกบริษัทและแต่งตั้งผู้ชำระต่อไปคือผู้ชำระบัญชีซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยแจ้งการประเมินภาษีอากรแล้ว จำเลยยังไม่อาจใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากรได้ จึงถือไม่ได้ว่าหนี้ภาษีอากรดังกล่าวเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอนตามมาตรา 9(3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เพราะอาจถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเพิกถอนโดยคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ โจทก์จึงไม่อาจนำหนี้จำนวนดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1532/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งประเมินภาษีหลังเลิกบริษัท: ต้องแจ้งผู้ชำระบัญชี ไม่ใช่กรรมการ/ผู้จัดการ
บริษัทจำเลยได้จดทะเบียนเลิกบริษัท ผู้ชำระบัญชีย่อมมีอำนาจชำระสะสางการงานของบริษัทให้เสร็จไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1250,1259(3) กรรมการหรือผู้จัดการของจำเลยหามีอำนาจอีกต่อไปไม่ การที่เจ้าพนักงานประเมินของกรมสรรพากรมีหมายเรียกและแจ้งการประเมินภาษีของบริษัทไปยังกรรมการและผู้จัดการของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ กรณีไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้รับแจ้งการประเมินภาษีอากรจำนวนดังกล่าวแล้ว จำเลยจึงยังไม่อาจใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากรได้ จึงถือไม่ได้ว่าหนี้ภาษีอากรดังกล่าวเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9(3) เพราะอาจจะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเพิกถอนโดยคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำหนี้นี้มาฟ้องให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1528/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์: พยานหลักฐานไม่เพียงพอพิสูจน์จำนวนและราคาทรัพย์ ศาลจำกัดการบังคับชดใช้เฉพาะทางแพ่ง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามลักทรัพย์โจทก์ร่วมไปหลายรายการขอให้ลงโทษและขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงินจำนวน 664,945บาท แก่โจทก์ร่วม แม้ศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3ลักทรัพย์โจทก์ร่วมไปบางรายการ แต่พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมายังไม่อาจฟังเป็นยุติว่า สินค้าที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ลักไปมีจำนวนและราคาเท่าใด จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 คืนทรัพย์หรือใช้ราคาให้แก่โจทก์ร่วมได้ ชอบที่โจทก์ร่วมจะไปว่ากล่าวเอาทางแพ่งแก่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1525/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผิดสัญญาซื้อขาย, การแจ้งเตือน, การลดเบี้ยปรับ และการชดใช้ค่าเสียหาย
การที่จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ตรงตามกำหนดสัญญาโจทก์มิได้บอกเลิกสัญญาทันที แต่ได้มีหนังสือแจ้งเตือนให้จำเลยส่งมอบสิ่งของตามสัญญาและสงวนสิทธิจะเรียกร้องค่าปรับตามสัญญาการที่โจทก์มีหนังสือแจ้งเตือนให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยขยายกำหนดเวลาส่งมอบออกไปอันเป็นการยกเลิกกำหนดเวลาส่งมอบตามสัญญาเดิม แต่เป็นกรณีที่โจทก์ให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และบอกสงวนสิทธิเรียกร้องเบี้ยปรับเอาไว้ในการที่จำเลยไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนด เมื่อจำเลยมิได้ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และเมื่อโจทก์มีหนังสือเตือนดังกล่าวแล้ว จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ยินยอมให้โจทก์ปรับเงินตามสัญญา ทั้งแจ้งเหตุขัดข้องในการส่งมอบสิ่งของจึงเป็นกรณีที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 โดยให้โอกาสจำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ และจำเลยยังต้องการปฏิบัติตามสัญญาโดยยินยอมให้โจทก์ปรับ แต่เมื่อจำเลยไม่สามารถส่งสิ่งของตามสัญญาให้แก่โจทก์ได้อีก และขอบอกเลิกสัญญาโจทก์จึงมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันบอกเลิกสัญญา ข้อ 9 วรรคแรก โจทก์ได้ซื้อจอกทองเหลือง จำนวน 70,000 อัน ในราคา 910,000 บาทจากคณะกรรมการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เป็นการซื้อในราคาที่สูงกว่าที่จำเลยตกลงขายแก่โจทก์เป็นเงิน 252,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้โจทก์จะต้องนำไปหักกับหลักประกันจำนวน 65,800 บาท ที่จำเลยนำธนาคารทหารไทย จำกัด มาค้ำประกันไว้ และโจทก์ได้ริบไปแล้วเพราะถือเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่ง จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายที่โจทก์ต้องซื้อสิ่งของแพงขึ้นเป็นเงินเพียง 186,200 บาท การที่ศาลล่างทั้งสองลดเบี้ยปรับรายวันให้จำเลยกึ่งหนึ่งคงเหลือเงินเบี้ยปรับจำนวน 120,414 บาท ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์โดยเห็นว่าโจทก์มิได้รับความเสียหายเป็นพิเศษอย่างอื่น เพียงแต่ต้องซื้อสิ่งของแพงขึ้น และจำเลยก็รับผิดไปแล้วเป็นจำนวนเงินพอสมควร จึงเป็นการพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างโดยชอบด้วยกฎหมายในเชิงทรัพย์สินเมื่อได้ใช้เบี้ยปรับแล้ว ดังนั้นที่ศาลล่างทั้งสองลดเบี้ยปรับให้จำเลยจึงนับว่าเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1525/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับสัญญาซื้อขาย: ศาลใช้ดุลพินิจลดเบี้ยปรับตามความเสียหายจริง
การที่จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ตรงตามกำหนดสัญญาโจทก์มิได้บอกเลิกสัญญาทันที แต่ได้มีหนังสือแจ้งเตือนให้จำเลยส่งมอบสิ่งของตามสัญญาและสงวนสิทธิจะเรียกร้องค่าปรับตามสัญญา การที่โจทก์มีหนังสือแจ้งเตือนให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยขยายกำหนดเวลาส่งมอบออกไปอันเป็นการยกเลิกกำหนดเวลาส่งมอบตามสัญญาเดิมแต่เป็นกรณีที่โจทก์ให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และบอกสงวนสิทธิเรียกร้องเบี้ยปรับเอาไว้ในการที่จำเลยไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนด เมื่อจำเลยมิได้ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และเมื่อโจทก์มีหนังสือเตือนดังกล่าวแล้ว จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ยินยอมให้โจทก์ปรับเงินตามสัญญา ทั้งแจ้งเหตุขัดข้องในการส่งมอบสิ่งของ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 โดยให้โอกาสจำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ และจำเลยยังต้องการปฏิบัติตามสัญญาโดยยินยอมให้โจทก์ปรับแต่เมื่อจำเลยไม่สามารถส่งสิ่งของตามสัญญาให้แก่โจทก์ได้อีก และขอบอกเลิกสัญญาโจทก์จึงมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันบอกเลิกสัญญาข้อ 9 วรรคแรก
โจทก์ได้ซื้อจอกทองเหลือง จำนวน 70,000 อัน ในราคา910,000 บาท จากคณะกรรมการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เป็นการซื้อในราคาทิ่สูงกว่าที่จำเลยตกลงขายแก่โจทก์เป็นเงิน 252,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้โจทก์จะต้องนำไปหักกับหลักประกันจำนวน 65,800 บาท ที่จำเลยนำธนาคารทหารไทยจำกัด มาค้ำประกันไว้ และโจทก์ได้ริบไปแล้วเพราะถือเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งจำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายที่โจทก์ต้องซื้อสิ่งของแพงขึ้นเป็นเงินเพียง186,200 บาท
การที่ศาลล่างทั้งสองลดเบี้ยปรับรายวันให้จำเลยกึ่งหนึ่งคงเหลือเงินเบี้ยปรับจำนวน 120,414 บาท ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ โดยเห็นว่าโจทก์มิได้รับความเสียหายเป็นพิเศษอย่างอื่น เพียงแต่ต้องซื้อสิ่งของแพงขึ้น และจำเลยก็รับผิดไปแล้วเป็นจำนวนเงินพอสมควร จึงเป็นการพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างโดยชอบด้วยกฎหมายในเชิงทรัพย์สินเมื่อได้ใช้เบี้ยปรับแล้ว ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองลดเบี้ยปรับให้จำเลยจึงนับว่าเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1455/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกงจากการปกปิดข้อเท็จจริงการอุทิศที่ดิน การฟ้องคดีไม่ขาดอายุความ
จำเลยโอนขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ ทั้งที่ได้อุทิศที่ดินให้ทางราชการสร้างอ่างเก็บน้ำแล้ว แต่ไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ ทำให้โจทก์หลงเชื่อซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวงโจทก์โดยการปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ.มาตรา 341
แม้โจทก์จะมิได้นำสืบในชั้นพิจารณาถึงวันที่โจทก์ได้ไปดูและเห็นที่ดินพิพาทเป็นอ่างเก็บน้ำอันเป็นวันที่โจทก์ได้รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดว่าเป็นวันใด โดยเบิกความว่า ได้ไปดูที่ดินพิพาทในเดือนกุมภาพันธ์2533 แต่โจทก์ก็ได้เบิกความไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า วันดังกล่าวคือวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2533 จึงฟังได้ว่าโจทก์ทราบถึงการกระทำผิดเมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 21 พฤษภาคม 2533 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 96

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1455/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกงจากการปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องที่ดินอุทิศ การฟ้องไม่ขาดอายุความเมื่อโจทก์รู้เรื่องความผิด
จำเลยโอนขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ ทั้งที่ได้อุทิศที่ดินให้ทางราชการสร้างอ่างเก็บน้ำแล้ว แต่ไม่แจ้งให้โจทก์ทราบทำให้โจทก์หลงเชื่อซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวงโจทก์โดยการปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 แม้โจทก์จะมิได้นำสืบในชั้นพิจารณาถึงวันที่โจทก์ได้ไปดูและเห็นที่ดินพิพาทเป็นอ่างเก็บน้ำอันเป็นวันที่โจทก์ได้รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดว่าเป็นวันใดโดยเบิกความว่า ได้ไปดูที่ดินพิพาทในเดือนกุมภาพันธ์ 2533แต่โจทก์ก็ได้เบิกความไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า วันดังกล่าวคือวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2533 จึงฟังได้ว่าโจทก์ทราบถึงการกระทำผิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 21 พฤษภาคม 2533 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1455/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกง – อายุความ – วันรู้ความผิด – ฟังได้จากชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
แม้โจทก์จะมิได้นำสืบในชั้นพิจารณาถึงวันที่โจทก์ได้รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด โดยนำสืบแต่เพียงว่า ได้ไปดูที่ดินพิพาทในเดือนกุมภาพันธ์ 2533 แต่โจทก์ได้เบิกความไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดเมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2533 เมื่อนำคำพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องมาฟังประกอบคำเบิกความพยานโจทก์ในชั้นพิจารณาแล้ว ฟังได้ว่าโจทก์ทราบถึงการกระทำผิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ฟ้องวันที่ 21พฤษภาคม 2533 จึงไม่เกินกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่โจทก์ทราบถึงการกระทำผิด คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 96

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1429/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเช่าซื้อผิดนัด: ค่าใช้ทรัพย์สิน ไม่ใช่ค่าเช่าค้าง
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 บัญญัติไว้แต่เพียงว่า เมื่อมีการเลิกสัญญาเพราะผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิริบเงินที่ผู้ให้เช่าซื้อรับไว้และกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อเท่านั้น ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างก่อนสัญญาเลิกกัน คงเรียกได้เพียงค่าที่จำเลยใช้ทรัพย์ที่เช่าซื้อตลอดเวลาที่ครอบครองอยู่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรค 3และค่าเสียหายเพราะเหตุอื่นที่จำเลยต้องรับผิดนอกเหนือจากค่าเสียหายอันเกิดแต่การใช้ทรัพย์โดยชอบ
แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุมาเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้าง แต่ตามคำบรรยายฟ้องกล่าวว่า การที่จำเลยผิดนัดผิดสัญญาต่อโจทก์จนโจทก์บอกเลิกสัญญาและยึดรถที่เช่าซื้อกลับคืน ทำให้โจทก์เสียหาย คือจำเลยครอบครองใช้รถของโจทก์โดยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 11 ถึงงวดที่ 17 เป็นเงิน 58,053 บาทจึงพอถือได้ว่าโจทก์ได้เรียกค่าเสียหายฐานใช้รถของโจทก์ตลอดเวลาที่จำเลยยังครอบครองอยู่ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1429/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อผิดนัด: สิทธิของผู้ให้เช่าซื้อในการเรียกค่าเสียหายจากการใช้ทรัพย์สิน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 บัญญัติไว้แต่เพียงว่า เมื่อมีการเลิกสัญญาเพราะผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิริบเงินที่ผู้ให้เช่าซื้อรับไว้และกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อเท่านั้น ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างก่อนสัญญาเลิกกันคงเรียกได้เพียงค่าที่จำเลยใช้ทรัพย์ที่เช่าซื้อตลอดเวลาที่ครอบครองอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรค 3 และค่าเสียหายเพราะเหตุอื่นที่จำเลยต้องรับผิดนอกเหนือจากค่าเสียหายอันเกิดแต่การใช้ทรัพย์โดยชอบ แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุมาเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้าง แต่ตามคำบรรยายฟ้องกล่าวว่า การที่จำเลยผิดนัดผิดสัญญาต่อโจทก์จนโจทก์บอกเลิกสัญญาและยึดรถที่เช่าซื้อกลับคืน ทำให้โจทก์เสียหายคือจำเลยครอบครองใช้รถของโจทก์โดยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 11 ถึงงวดที่ 17 เป็นเงิน 58,053 บาท จึงพอถือได้ว่าโจทก์ได้เรียกค่าเสียหายฐานใช้รถของโจทก์ตลอดเวลาที่จำเลยยังครอบครองอยู่ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายได้
of 58