คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เสมอ อินทรศักดิ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 571 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4670/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานลักทรัพย์: ข้อเท็จจริงในฟ้องไม่สอดคล้องกับพยานหลักฐาน ศาลยกฟ้องจำเลยทั้งหมด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งหกลักไม้เต็ง57แผ่นไม้แคมปัส 21 แผ่นแต่ในทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ไม้ที่จำเลยทั้งหกลักไปเป็นไม้ยาง47 แผ่น ดังนี้ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง จึงต้องยกฟ้อง กรณีดังกล่าว แม้จำเลยบางคนไม่ได้อุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องถึงจำเลยเหล่านั้นได้เพราะเป็นเหตุอยู่ในลักษณะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4525/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิคู่ความจากการสอดคดี: ศาลต้องพิจารณาคดีใหม่โดยมีคู่ความครบถ้วน
ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ย่อมมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ตาม มาตรา 58 การพิจารณาพิพากษาคดีจึงต้องกระทำโดยมีคู่ความสามฝ่าย ศาลจะแยกพิจารณาพิพากษาหาได้ไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิจารณาพิพากษาคดีโดยไม่มีผู้ร้องสอดเข้ามาในคดี เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการพิจารณาศาลฎีกาให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ตามมาตรา 243(2),247.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4525/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับคำร้องสอดและการพิจารณาคดีใหม่เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้รับคำร้องสอด
ศาลฎีกาพิพากษาให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้แล้วผู้ร้องสอดย่อมมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ การพิจารณาพิพากษาคดีจึงต้องกระทำโดยมีคู่ความทั้งสามฝ่าย การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาคดีไปโดยไม่มีผู้ร้องสอดเข้ามาในคดี เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาศาลฎีกามีอำนาจสั่งยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้ ในกรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2) นั้น ศาลฎีกามีอำนาจสั่งคืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาที่เสียมาทั้งหมดให้แก่คู่ความ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4452/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิขอคืนภาษีอากรเมื่อสำแดงพิกัดศุลกากรผิดพลาด พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบ
พระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 10 วรรคห้า นั้น การเรียกร้องขอคืนภาษีอากรที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริง จะต้องเป็นกรณีผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบ หรือส่งออกว่าจะยื่นคำเรียกร้องขอคืนอากรที่ชำระไว้เกินนั้นประการหนึ่ง กับอีกประการหนึ่งคือพนักงานเจ้าหน้าที่พึงต้องรู้อยู่ก่อนส่งมอบหรือส่งออกว่าอากรที่ชำระไว้นั้นเกินจำนวนที่พึงต้องเสียสำหรับของที่ส่งมอบหรือส่งออกสินค้ารายพิพาทที่โจทก์นำเข้าได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าว่าเครื่องบันทึกภาพวีดีโอครบชุด โดยมีภาษาอังกฤษกำกับไว้ว่า"1/2InchHSCompactMovie,Cameraw/Accessories" ตามพระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 113 บัญญัติว่า "บรรดาใบขนสินค้าบัญชี สมุดบัญชี บันทึกเรื่องราวหรือเอกสารไม่ว่าประเภทใด ๆให้ทำและถือไว้เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ" แสดงว่าใบขนสินค้าจะทำขึ้นเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ จำเลยจะต้องคัดเลือกพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความเข้าใจภาษาอังกฤษพอสมควรมาทำหน้าที่ตรวจสอบใบขนสินค้า และตรวจสอบของก่อนสั่งปล่อยสินค้าว่าสินค้าที่นำเข้าตรงกับที่สำแดงไว้หรือไม่ ภาษาอังกฤษคำว่า"Camera" มีความหมายว่า "กล้อง" ส่วนคำว่า "Recorder" มีความหมายว่า "เครื่องบันทึก" เป็นคำสามัญทั่วไปไม่ใช่คำที่ใช้ในทางเทคนิคโดยเฉพาะ ทั้งในพิกัดอัตราศุลกากรที่ 85.21 ที่ระบุเครื่องบันทึกภาพวีดีโอก็ใช้คำว่า "ideoRecording" ส่วนพิกัดอัตราศุลกากรที่ 8525.30 ที่ระบุถึงกล้องถ่ายโทรทัศน์ก็ใช้คำว่า"TelevisionCameras" หากพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยใช้ความระมัดระวังและตรวจสอบรายการสินค้าที่โจทก์แสดงพิกัดศุลกากรที่โจทก์ระบุ ก็น่าจะพบว่ารายการสินค้ารายพิพาทนั้น ภาษาไทยและภาษาอังกฤษไม่ตรงกัน จึงเป็นกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยพึงต้องรู้ก่อนส่งมอบสินค้าพิพาทให้แก่โจทก์ว่าโจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรผิด และอากรที่ชำระไว้นั้นเกินจำนวนที่พึงต้องเสียสำหรับสินค้าพิพาทที่ส่งมอบ ตามพระราชบัญญัติศุลกากรมาตรา 10 วรรคห้า โจทก์จึงมีสิทธิขอคืนอากรได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4452/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิขอคืนอากรเกินเมื่อสำแดงพิกัดผิด กรมศุลกากรต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและภาษาที่ใช้
การเรียกร้องขอคืนอากรที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริงจะต้องเป็นกรณีผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก่อนการส่งมอบหรือส่งออกว่าจะยื่นคำเรียกร้องขอคืนอากรที่ชำระไว้เกินนั้นประการหนึ่งกับพนักงานเจ้าหน้าที่พึงต้องรู้อยู่ก่อนส่งมอบหรือส่งออกว่าอากรที่ชำระไว้นั้นเกินจำนวนที่พึงต้องเสียสำหรับของที่ส่งมอบหรือส่งออกอีกประการหนึ่ง ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา10 วรรคห้า การที่โจทก์นำเข้ากล้องถ่ายโทรทัศน์ซึ่งเป็นของตามพิกัดประเภทที่ 8525.30 ต้องเสียอากรร้อยละ 5 โดยยื่นใบขนสินค้าและแบบแสดงรายการการค้าว่าเครื่องบันทึกภาพวีดีโอครบชุด มีภาษาอังกฤษกำกับไว้ว่า "1/2InchHSCompactMovie,CameraW/Accessories" และเสียอากรร้อยละ 30 ตามพิกัดประเภทที่ 8521.10 ซึ่งไม่ถูกต้อง กรณีนี้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรจำเลยพึงต้องรู้ เพราะใบขนสินค้านั้นจะทำขึ้นเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 113 จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องคัดเลือกพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความเข้าใจภาษาอังกฤษพอสมควรมาทำหน้าที่ตรวจสอบใบขนสินค้าและตรวจสอบของก่อนสั่งปล่อย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4260/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้จากกองทรัพย์สินลูกหนี้ในคดีล้มละลาย รวมถึงการรับผิดในหนี้ของห้างฯ และการชำระหนี้ค่าธรรมเนียม
การที่บัญชีกำไรขาดทุนที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้นนั้น จัดทำขึ้นจากหลักฐานไม่ตรงกับความเป็นจริง แม้เมื่อผู้ชำระบัญชีจัดทำบัญชีเสร็จ เจ้าหนี้ทั้งสองมิได้โต้แย้งบัญชีดังกล่าวต่อศาลและเมื่อผู้ชำระบัญชีขอให้ห้างฯ ล้มละลาย ลูกหนี้ก็มิได้คัดค้านว่าห้างฯ มีกำไร ทั้งยังร่วมกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างฯ ร้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายตามห้างฯ ก็ตาม แต่เจ้าหนี้ทั้งสองมิได้รับรองบัญชีดังกล่าว คงมีแต่ผู้ชำระบัญชีและผู้สอบบัญชีฝ่ายลูกหนี้ลงชื่อรับรอง การที่เจ้าหนี้ทั้งสองมิได้รับรองบัญชีดังกล่าวย่อมไม่เป็นการตัดสิทธิเจ้าหนี้ทั้งสองที่จะกล่าวอ้างในคดีนี้ว่าบัญชีที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้นไม่ถูกต้องและในคดีที่ผู้ชำระบัญชีร้องขอให้ห้างฯ ล้มละลายนั้นพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 88 วรรคสอง บัญญัติว่าเมื่อผู้ชำระบัญชีมีคำร้องขอ ให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดทันทีเจ้าหนี้ทั้งสองจึงไม่มีโอกาสคัดค้าน ส่วนที่เจ้าหนี้ไปร่วมกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายตามห้างฯ ก็ถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยชอบเพื่อเยียวยาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่ห้างฯ มีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทั้งสอง จะถือว่าเป็นการยอมรับบัญชีที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้นแล้วมิได้ ห้างฯ มีกำไรสุทธิในวันเลิกห้างฯ 7,813,932.48 บาทเจ้าหนี้ทั้งสองมีหุ้นรวมกันร้อยละ 30 มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเงินปันผลกำไรของห้างฯ เป็นเงิน 2,344,179.74 บาท ส่วนแบ่งเงินปันผลกำไรดังกล่าวเป็นเงินที่เจ้าหนี้ทั้งสองมีสิทธิได้รับจากห้างฯเมื่อปรากฏว่าห้างฯ ไม่อาจชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่เจ้าหนี้ทั้งสองได้ลูกหนี้ในฐานะหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดซึ่งต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างฯ โดยไม่จำกัดจำนวน ย่อมต้องร่วมรับผิดต่อเจ้าหนี้ทั้งสอง เจ้าหนี้ทั้งสองมีสิทธิขอรับชำระหนี้เงินจำนวนดังกล่าวจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ การชำระบัญชีอันเป็นมูลเหตุให้เกิดหนี้ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในชั้นชำระบัญชีที่เจ้าหนี้ทั้งสองขอรับชำระหนี้เกิดขึ้นจากข้อตกลงของเจ้าหนี้ทั้งสองและลูกหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งของศาลชั้นต้น เพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายทั้งสองฝ่ายย่อมต้องรับผิดชอบในค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายดังกล่าวร่วมกัน สัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับการเลิกห้างมีข้อความว่ากิจการ ทรัพย์สินและโรงน้ำแข็งของห้าง ให้ประมูลขายทอดตลาดนำเงินมอบแก่ผู้ชำระบัญชีเพื่อจัดการตามส่วน แต่ต่อมามีคำพิพากษาฎีกาคดีระหว่างเจ้าหนี้ร่วม โจทก์ และผู้ชำระบัญชีกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างฯ จำเลย ให้ผู้ชำระบัญชีและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างฯ รับเงิน 50,000 บาท จากเจ้าหนี้ร่วม แล้วให้จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 1089 อันเป็นทรัพย์สินของห้างฯ คืนให้แก่เจ้าหนี้ร่วมโดยปลอดจากการจำนองหากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และผู้ชำระบัญชีของห้างฯ ไม่มีเงินจากกองทรัพย์สินของห้างฯ พอที่จะทำการไถ่ถอนจำนอง ให้ลูกหนี้ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างฯ รับผิดในหนี้ของห้างฯ ลูกหนี้จึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4190/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานป่าไม้ใช้ตราปลอมประทับไม้ผิดกฎหมายและจดรายการเท็จ ก่อความเสียหายแก่กรมป่าไม้
ผู้เชี่ยวชาญของศาลด้านตรวจพิสูจน์รูปรอยตราประทับไม้ทำงานด้านนี้มานาน ย่อมเป็นผู้มีความรู้ความสามารถปรากฏว่า การตรวจพิสูจน์ทำตามหลักวิชาเป็นขั้นตอนแล้วผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่ารูปลักษณะตัวเลขที่ไม้ชิ้นที่ตัดมาจากไม้ของกลางเหมือนกันและเท่ากันกับรูปรอยตราของทางราชการ โดยจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นแม้จะปรากฏว่าไม้ของกลางมีตัวเลขดวงตราไม่ครบถ้วนก็เชื่อได้ว่ารูปรอยตราที่ปรากฏเกิดจากการประทับดวงตราของทางราชการที่แท้จริง ไม้ที่ตัดฟันหรือตัดโค่นมาโดยมิชอบด้วยกฎหมายเป็นไม้ที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยได้จดรายการของไม้ดังกล่าวลงในสมุดบัญชีรายการขนาดจำนวนไม้ที่ตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลาก เพื่อรับรองเป็นหลักฐานว่าจำเลยได้กระทำการโดยชอบด้วยหน้าที่ อันเป็นการจดรายการอันเป็นเท็จ จึงมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 162(1) ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดตาม มาตรา 157และมาตรา 160

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4186/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบรถจักรยานยนต์ที่ใช้หลบหนีหลังก่ออาชญากรรม ศาลฎีกาตัดสินว่าไม่เข้าข่ายการริบหากไม่ได้ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง
จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของกลางไปจอดรอพวกของจำเลย และเมื่อพวกของจำเลยชิงทรัพย์ของผู้เสียหายเสร็จ ก็กลับมานั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยแล้วจำเลยขับหลบหนีไป พฤติการณ์ของจำเลยกับพวก เป็นเพียงการใช้รถจักรยานยนต์ของกลางไปและกลับจากการกระทำความผิด เพื่อให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้นไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางในการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) จึงริบรถจักรยานยนต์ของกลางไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4186/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบรถจักรยานยนต์ที่ใช้หลังการกระทำผิด ไม่ใช่ยานพาหนะในการกระทำความผิด
ขณะผู้เสียหายเดินกลับมาเอากุญแจที่รถจักรยานยนต์ จำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนได้ขับรถจักรยานยนต์เข้ามาจอดข้างรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายพวกของจำเลยลงจากรถจักรยานยนต์มาชิงทรัพย์ไปจากผู้เสียหายเสร็จแล้วจึงได้กลับมาซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยขับหนีไปเป็นการใช้รถจักรยานยนต์เพื่อไปและกลับจากการกระทำผิด เพื่อให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกรวดเร็วเท่านั้น ไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางในการกระทำผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) จึงริบรถจักรยานยนต์ของกลางไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4156/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิอุทธรณ์แทนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์: คำสั่งศาลชั้นต้นปฏิเสธการส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด
คำร้องขอใช้สิทธิอุทธรณ์แทนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ยื่นมาพร้อมอุทธรณ์ แม้แยกต่างหากจากอุทธรณ์ก็ถือเป็นเพียงคำร้องแสดงเหตุประกอบการยื่นอุทธรณ์เท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่ารวมสั่งในอุทธรณ์ และมีคำสั่งในอุทธรณ์ว่าไม่รับอุทธรณ์จึงเป็นคำสั่งปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 วรรคสี่ และมาตรา 232ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153เมื่อผู้ขอใช้สิทธิอุทธรณ์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ดังนี้ เป็นคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153
of 58