พบผลลัพธ์ทั้งหมด 571 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3723/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และการกำหนดค่าเสียหายที่เหมาะสมจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
เหตุละเมิดคดีนี้ศาลแขวงสงขลาได้มีคำพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 2 ในข้อหาว่าขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส คดีถึงที่สุดแล้ว ซึ่งแม้กรณีจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ให้ศาลที่พิจารณาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1นายจ้าง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่มิได้ถูกฟ้องคดีอาญานั้นด้วย จำเลยที่ 1 ยังอาจยกข้อต่อสู้และนำสืบในคดีนี้ได้ว่าจำเลยที่ 2มิได้เป็นฝ่ายทำละเมิดต่อโจทก์หากแต่โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทเองหรือมีส่วนประมาทร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 1 ฎีกาโดยขออ้างเอาคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1มาให้ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง แต่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยชัดแจ้งว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายไม่ถูกต้องอย่างไรหรือวินิจฉัยอย่างไรจึงจะถูกต้อง กลับมาให้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บที่เปลือกตาบนด้านซ้ายมือมีอาการบวมของประสาทตาส่วนกลางและมีเลือดออก ทำให้ประสาทตาส่วนกลางเสื่อมสมรรถภาพลง ต้องได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ตลอดชีวิตเนื่องจากอาจเกิดอาการแทรกซ้อนในภายหลัง โจทก์ที่ 2 ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลฉีกขาดที่นิ้วหัวแม่มือด้านขวา เอ็นและเส้นประสาทที่นิ้วหัวแม่มือขาดแพทย์ได้ทำการผ่าตัดต่อเส้นเอ็นได้แต่ต่อเส้นประสาทไม่ได้เพราะขนาดเล็กมาก หลังผ่าตัดแล้วนิ้วหัวแม่มือของโจทก์ที่ 2 งอติดกับข้อกางได้เพียง 60 องศา ซึ่งการที่โจทก์ทั้งสองได้รับบาดเจ็บดังกล่าว โจทก์ทั้งสองเป็นจักษุแพทย์ไม่สามารถทำงานละเอียดเช่นการผ่าตัดประสาทหูชั้นในและเยื่อฟังผืดใกล้จอประสาทตาได้ ดังนั้นโจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่ไม่สามารถประกอบการงานในปัจจุบันและอนาคตได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3722/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าปรับสัญญาเช่าซื้อ, มูลหนี้จากการรับสภาพหนี้, การลดค่าเสียหายที่สูงเกินควร, ศาลฎีกาพิพากษากลับ
สัญญาเช่าซื้อระบุว่า หากสัญญาเช่าซื้อถูกยกเลิกไปผู้เช่าซื้อต้องรับผิดในจำนวนค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและค่าเสียหายพร้อมด้วยค่าปรับร้อยละสิบแปดต่อปี ข้อตกลงดังกล่าวไม่เป็นการขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 574 เพราะเป็นเพียงข้อกำหนดในการชำระค่าเช่าซื้อระหว่างที่ยังมิได้มีการเลิกสัญญากันพร้อมทั้งเบี้ยปรับกรณีผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเท่านั้นและค่าปรับดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ หากกำหนดไว้สูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3674/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการสั่งริบอาวุธปืน: ปืนมีทะเบียนใช้ทำผิดได้ริบหรือไม่ พิจารณาจากพฤติการณ์
จำเลยพาอาวุธปืนของจำเลยที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ ไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้พกติดตัวไป และยิงปืนในหมู่บ้านเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ และ ป.อ.มาตรา 371,376, อาวุธปืนเป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิด หรือทรัพย์ที่ได้ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งอยู่ในดุลพินิจ หรืออำนาจของศาลที่จะสั่งริบหรือไม่ก็ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3674/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองอาวุธปืนมีทะเบียนและการสั่งริบในความผิดพาอาวุธปืนและยิงปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
อาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางเป็นปืนมีทะเบียนซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้มีและใช้ได้ตามกฎหมาย แม้จำเลยจะมิได้ใช้ทำผิดฐานชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ หรือฆ่าผู้อื่น และการที่จำเลยซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวได้พาอาวุธปืนของกลางติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะ และยิงปืนในหมู่บ้านหรือชุมนุมชนไม่อาจทำให้อาวุธปืนของกลางที่มีใบอนุญาตแล้วกลายเป็นอาวุธปืนที่มีไว้ผิดกฎหมายไปด้วยก็ตาม แต่ก็คงเป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดหรือเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งอยู่ในดุลพินิจหรืออำนาจของศาลที่จะสั่งริบหรือไม่แล้วแต่ข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆไป ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3627/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์: ปืนไม่ลั่นไม่ถือว่าใช้ปืนยิง ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขโทษที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษผิด
ในการปล้นทรัพย์จำเลยใช้ปืนยิงแต่ปืนไม่ลั่น ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงตามมาตรา 340 วรรคสี่ประกอบมาตรา 80 จึงไม่ถูกต้องคงมีความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัวไปด้วย ตามมาตรา 340 วรรคสองประกอบมาตรา 80 เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยไม่ถูกต้อง เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3552/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความกับการครอบครองที่ดินมรดก: สิทธิเจ้าของรวม
คดีเดิมโจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนพินัยกรรม โดยอ้างว่าเป็นพินัยกรรมปลอม แล้วโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยจะไม่นำพินัยกรรมไปขอรับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลง และให้โจทก์ทั้งสองกับ พ. มีสิทธิได้รับมรดกตามกฎหมายในฐานะทายาทบนที่ดินเหมือนเดิมทุกประการ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองดูแลรักษาพร้อมทั้งเก็บดอกผลบนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วม และให้จำเลยใช้เงินดอกผลส่วนของโจทก์ทั้งสองกับให้แบ่งผลประโยชน์ที่เกิดบนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแก่โจทก์ทั้งสอง ดังนั้นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยมาแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนอันจะเป็นการฟ้องซ้ำและต้องห้ามตามป.วิ.พ. มาตรา 148 โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3552/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องบังคับสิทธิเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม หลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความ คดีไม่ถือเป็นการฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนพินัยกรรมที่จำเลยอ้างว่ามารดาโจทก์ทั้งสองและจำเลยยกทรัพย์มรดกทั้งหมดรวมทั้งที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยเพียงผู้เดียวโดยระบุว่าเป็นพินัยกรรมปลอม ต่อมาโจทก์ทั้งสองกับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันความว่า จำเลยจะไม่นำพินัยกรรมไปขอรับโอนที่ดินพิพาท และให้โจทก์ทั้งสองกับ พ. มีสิทธิได้รับมรดกตามกฎหมายในฐานะทายาทบนที่ดินเหมือนเดิมทุกประการ ส่วนที่ดินอีกแปลงหนึ่งที่จำเลยรับโอนไปแล้วจะแบ่งเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กันให้โจทก์ทั้งสองและ พ. มีกรรมสิทธิ์รวม ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองดูแลรักษาพร้อมทั้งเก็บดอกผลบนที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมและให้จำเลยใช้เงินดอกผลส่วนของโจทก์ทั้งสองกับให้แบ่งผลประโยชน์ที่เกิดบนที่ดินพิพาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าคดีจะถึงที่สุดแก่โจทก์ทั้งสอง ดังนั้นประเด็นที่จะวินิจฉัยในคดีนี้จึงมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยมาแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน อันจะเป็นการฟ้องซ้ำและต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องเป็นคดีต่างหาก ไม่จำต้องยื่นคำร้องขอเข้าไปในคดีเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3486/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกร้องทรัพย์มรดกหลังพ้นอายุความ: สิทธิทายาทและการสละมรดก
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้สละมรดกโดยแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 สละมรดก และวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์และจำเลยทั้งสามต่างได้ครอบครองทรัพย์มรดกที่ดินร่วมกัน จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นทายาทมีสิทธิรับมรดก ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 แบ่งทรัพย์มรดกได้ แม้จะล่วงเลยอายุความ 10 ปี ตามป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสี่ประกอบมาตรา 1748 วรรคแรก แล้วก็ตามแต่โจทก์กลับฎีกากล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยกำหนดอายุความ 10 ปีแล้ว แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้สละมรดกตามกฎหมายจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ไม่อาจเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกได้ ฎีกาของโจทก์เช่นนี้ไม่ได้กล่าวโต้แย้งหรือคัดค้านว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไรจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3486/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละมรดก, อายุความ, สิทธิเรียกร้องทรัพย์มรดก: ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากฎีกาโจทก์ไม่ชัดแจ้ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 ได้สละมรดกโดยแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 สละมรดก และวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์และจำเลยทั้งสามต่างได้ครอบครองทรัพย์มรดกที่ดินร่วมกัน จำเลยที่ 2 และที่ 3ซึ่งเป็นทายาทมีสิทธิรับมรดก ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 แบ่งทรัพย์มรดกได้ แม้จะล่วงเลยอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสี่ประกอบมาตรา 1748 วรรคแรก แล้วก็ตามแต่โจทก์กลับฎีกากล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยกำหนดอายุความ 10 ปีแล้วแม้จะฟังว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้สละมรดกตามกฎหมาย จำเลยที่ 2และที่ 3 ก็ไม่อาจเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกได้ ฎีกาของโจทก์เช่นนี้ไม่ได้กล่าวโต้แย้งหรือคัดค้านว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3369/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจดุลพินิจศาลในการอนุญาตถอนฟ้อง และการใช้สิทธิไม่สุจริต
การที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ถอนฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 175นั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจ การที่โจทก์ใช้สิทธิขอถอนฟ้องเพราะ จำเลยเป็นหนี้โจทก์มีจำนวนมากกว่าที่ระบุในฟ้องเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย เพราะหากถอนฟ้องแล้วโจทก์นำคดีมาฟ้องใหม่ จำเลยก็มีสิทธิต่อสู้คดีเต็มที่เช่นกัน การที่ฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะคดีย่อมแล้วแต่พยานหลักฐานของคู่กรณี ตรงกันข้ามหากไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง จำเลยอาจได้เปรียบในเชิงคดีก็เป็นได้เพราะหากจำเลยเป็นหนี้โจทก์มากกว่าที่ฟ้อง จำเลยอาจไม่ต้องชำระหนี้ดังกล่าว จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยใช้สิทธิไม่สุจริต เอาเปรียบในเชิงคดีแต่ประการใด.