คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชวลิต พรายภู่

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 225 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 445/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชิงทรัพย์โดยมีเจตนาอวดอ้างหรือไม่ การลดโทษเนื่องจากวัยเยาว์และสภาพแวดล้อม
จำเลยใช้มีดจี้ผู้เสียหายและดึงสร้อยคอจากคอผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายส่งเสียงดัง จำเลยก็พูดว่าไม่ต้องร้อง คืนสร้อยให้แล้ว แล้วจำเลยคืนสร้อยให้ผู้เสียหายไปทั้งจำเลยให้การชั้นสอบสวนว่าเหตุที่กระทำผิดเนื่องจากอยากลองและนึกสนุก แสดงว่าจำเลยกระทำโดยมิได้มีความประสงค์ต่อทรัพย์ที่แท้จริงแต่เพื่ออวดในทางที่ผิดด้วยความโง่เขลาตามประสาวัยรุ่น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 445/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการกระทำความผิดชิงทรัพย์: การคืนทรัพย์และความประสงค์เพื่ออวดอ้างในวัยรุ่น
จำเลยเป็นผู้คืนสร้อยคอทองคำให้ผู้เสียหายเองเมื่อผู้เสียหายเพียงแต่ร้อง "ว้าย" โดยจำเลยพูดว่า "ไม่ต้องร้อง...ไม่ต้องร้องคืนสร้อยให้แล้ว" หากจำเลยประสงค์ในตัวทรัพย์จริงก็ไม่น่าที่จะต้องคืนทรัพย์ให้และพูดจาในเชิงปลอบผู้เสียหาย จำเลยน่าที่จะวิ่งหนีไปพร้อมสร้อยที่ชิงได้มากกว่า จำเลยตอบคำถามของพนักงานสอบสวนถึงเหตุที่กระทำผิดว่า "เนื่องจากข้าฯ อยากลองนึกสนุก" อันเป็นลักษณะของวัยรุ่นที่โง่เขลาและหลงผิด ชอบอวดเก่งในทางที่ไม่เรียบร้อย ประกอบกับฐานะครอบครัวของจำเลยนั้น มีผู้ปกครองที่มีอาชีพมั่นคงโดยทั้งบิดาและมารดาเป็นข้าราชการระดับ 6 ทั้งคู่เมื่อประมวลเหตุทั้งหมดแล้วน่าเชื่อว่า จำเลยกระทำโดยมิได้มีความประสงค์ต่อทรัพย์ที่แท้จริง หากเป็นการกระทำเพื่อแสดงออกซึ่งเป็นการอวดในทางที่ผิดด้วยความโง่เขลาตามประสาวัยรุ่นที่อยู่ในวัยคะนอง จึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้อง แต่ที่จำเลยร่วมกับพวกใช้มีดจี้ขู่เข็ญผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพโดยใช้อาวุธ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้อง จึงลงโทษจำเลยได้ตามที่พิจารณาได้ความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 86/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการกระทำผิดร่วมกันทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย การพิจารณาเจตนาเฉพาะตัวจำเลย
จำเลยที่ 2 ทำร้ายผู้ตายโดยการชกต่อย ส่วนจำเลยที่ 3 ทำร้ายผู้ตายโดยใช้ไม้ตี ซึ่งล้วนแต่มิได้ก่อให้เกิดบาดแผลแก่ผู้ตายถึงขนาดจะเป็นเหตุแห่งความตายได้ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1เข้ามาทำร้ายผู้ตายด้วยการเตะหาได้ใช้มีดที่พกติดตัวมาแทงทำร้ายผู้ตายทันทีไม่ แสดงชัดว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยเจตนาเพียงร่วมทำร้ายผู้ตายก่อน หลังจากนั้นเกิดการโต้ตอบเป็นเชิงต่อว่าระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 จึงชักมีดออกมาแทงผู้ตาย เป็นเจตนาเกิดขึ้นภายหลัง ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 ทราบถึงการมีอาวุธมีดติดตัวตั้งแต่ก่อนหรือแรกเกิดเหตุไม่มีเหตุที่จะคาดหมายหรือเล็งเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 อาจฆ่าผู้ตายได้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาเพียงร่วมในการทำร้ายผู้ตายต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 86/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าเกิดภายหลัง-ตัวการร่วมทำร้าย: ศาลลดโทษจำเลยร่วมจากฆ่าผู้อื่นเป็นทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตาย
จำเลยที่ 2 ทำร้ายผู้ตายโดยการชกต่อย ส่วนจำเลยที่ 3 ใช้ไม้ตีซึ่งล้วนไม่ก่อให้เกิดบาดแผลถึงตายได้ แต่ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดแทง แม้ว่าหลังจากจำเลยที่ 3 ใช้ไม้ตีผู้ตายแล้ว จำเลยที่ 1 จึงได้เข้าทำร้ายผู้ตายก็ตามแต่ก็ด้วยการเตะ จำเลยที่ 1 หาได้ใช้มีดที่พกติดตัวมานั้นแทงทำร้ายผู้ตายทันทีไม่ แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเพียงเจตนาร่วมทำร้ายก่อน ต่อเมื่อเกิดการโต้ตอบเป็นเชิงต่อว่าระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 จึงชักมีดออกมาแทงผู้ตาย เจตนาในการฆ่าผู้ตายของจำเลยที่ 1 ที่เกิดขึ้นภายหลังเช่นนี้จึงเป็นเจตนาที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธมีดติดตัวตั้งแต่ก่อนหรือแรกเกิดเหตุ ไม่มีเหตุที่จะคาดหมายหรือเล็งเห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 จะฆ่าผู้ตายจึงไม่อาจรับฟังเป็นโทษแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า มีเจตนาร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยการแบ่งหน้าที่กันทำ คดีต้องฟังเป็นคุณว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาเพียงร่วมในการทำร้าย จำเลยที่ 2 และที่ 3จึงต้องรับผิดเพียงฐานเป็นตัวการร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก,83

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4965/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในสินค้าโอนเมื่อใด: การส่งมอบและตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนรับมอบ
เมื่อโจทก์ร่วมสั่งซื้อน้ำยาเคมีสไตรีนโมโนเมอร์สำหรับทำพลาสติกเม็ดจากบริษัท ช.บริษัทช. จะว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดท. ใช้รถยนต์บรรทุกน้ำยาเคมีไปส่งให้โจทก์ร่วม เมื่อรถส่งน้ำยาเคมีมาถึงโรงงานของโจทก์ร่วม เจ้าหน้าที่ตรวจรับนำยาเคมีของโจทก์ร่วมจะชั่งน้ำหนักของรถรวมกับน้ำยาเคมีเสียก่อนหากปรากฏว่าแตกต่างกับน้ำหนักที่ระบุไว้ในใบส่งของเป็นจำนวนมากโจทก์ร่วมจะสอบถามไปยังบริษัท ช. หากชั่งน้ำหนักถูกต้องเรียบร้อยโจทก์ร่วมจะตรวจสอบคุณภาพของน้ำยาเคมีว่าได้มาตรฐานถูกต้องตามความต้องการของโจทก์ร่วมหรือไม่อีก หากถูกต้องจึงจะถ่ายน้ำยาเคมีสู่ถังเก็บน้ำยาของโจทก์ร่วมหากไม่ถูกต้องก็จะให้รถบรรทุกน้ำยาเคมีกลับไป การซื้อขายระหว่างโจทก์ร่วมกับบริษัท ช. จึงเป็นการซื้อขายโดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์ร่วมจะรับมอบน้ำยาเคมีต่อเมื่อมีการตรวจสอบน้ำหนักและคุณภาพแล้ว เช่นนี้ กรรมสิทธิ์ในน้ำยาเคมีที่โจทก์ร่วมสั่งซื้อจากบริษัท ช. จะตกเป็นของโจทก์ร่วมเมื่อมีการถ่ายน้ำยาเคมีจากรถบรรทุกลงสู่ถังเก็บน้ำยาของโจทก์ร่วมแล้ว การที่จำเลยซึ่งเป็นพนักงานของห้างหุ้นส่วนจำกัด ท.ขับรถบรรทุกน้ำยาเคมีไปที่โรงงานของโจทก์ร่วม แล้วชั่งน้ำหนักรถรวมกับน้ำยาเคมี ปรากฏว่าน้ำหนักขาดหายไปมาก โจทก์ร่วมไม่อนุญาตให้ถ่ายน้ำยาเคมีลงสู่ถังเก็บของโจทก์ร่วม จำเลยจึงขับรถกลับไปแสดงว่าโจทก์ร่วมยังไม่ได้รับมอบน้ำยาเคมีที่สั่งซื้อ กรรมสิทธิ์ในน้ำยาเคมียังคงเป็นของบริษัท ช. ยังไม่โอนไปยังโจทก์ร่วมโจทก์ร่วมไม่เป็นผู้เสียหายที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยได้เมื่อน้ำยาเคมีหายไป โจทก์ย่อมไม่อาจเรียกให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาน้ำยาเคมีแก่โจทก์ร่วมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4965/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในสินค้าโอนเมื่อใด: การซื้อขายมีเงื่อนไขตรวจสอบน้ำหนักและคุณภาพ
เมื่อโจทก์ร่วมสั่งซื้อน้ำยาเคมีสไตรีนโมโนเมอร์สำหรับทำพลาสติกเม็ดจากบริษัท ช. บริษัท ช. จะว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด ท. ใช้รถยนต์บรรทุกน้ำยา-เคมีไปส่งให้โจทก์ร่วม เมื่อรถส่งน้ำยาเคมีมาถึงโรงงานของโจทก์ร่วม เจ้าหน้าที่ตรวจรับนำยาเคมีของโจทก์ร่วมจะชั่งน้ำหนักของรถรวมกับน้ำยาเคมีเสียก่อนหากปรากกฏว่าแตกต่างกับน้ำหนักที่ระบุไว้ในใบส่งของเป็นจำนวนมาก โจทก์ร่วมจะสอบถามไปยังบริษัทช. หากชั่งน้ำหนักถูกต้องเรียบร้อย โจทก์ร่วมจะตรวจสอบคุณภาพของน้ำยาเคมีว่าได้มาตรฐานถูกต้องตามความต้องการของโจทก์ร่วมหรือไม่อีก หากถูกต้องจึงจะถ่ายน้ำยา-เคมีสู่ถังเก็บนำยาของโจทก์ร่วมหากไม่ถูกต้องก็จะให้รถบรรทุกน้ำยาเคมีกลับไป การซื้อขายระหว่างโจทก์ร่วมกับบริษัท ช. จึงเป็นการซื้อขายโดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์ร่วมจะรับมอบน้ำยาเคมีต่อเมื่อมีการตรวจสอบน้ำหนักและคุณภาพแล้ว เช่นนี้ กรรมสิทธิ์ในน้ำยาเคมีที่โจทก์ร่วมสั่งซื้อจากบริษัท ช. จะตกเป็นของโจทก์ร่วมเมื่อมีการถ่ายน้ำยาเคมีจากรถบรรทุกลงสู่ถึงเก็บน้ำยาของโจทก์ร่วมแล้ว
การที่จำเลยซึ่งเป็นพนักงานของห้างหุ้นส่วนจำกัด ท. ขับรถบรรทุกน้ายาเคมีไปที่โรงงานของโจทก์ร่วม แล้วชั่งน้ำหนักรถรวมกับน้ำยาเคมี ปรากฏว่าน้ำหนักขาดหายไปมาก โจทก์ร่วมไม่อนุญาตให้ถ่ายน้ำยาเคมีลงสู่ถังเก็บของโจทก์ร่วมจำเลยจึงขับรถกลับไป แสดงว่าโจทก์ร่วมยังไม่ได้ตับมอบน้ำยาเคมีที่สั่งซื้อ กรรมสิทธิ์ในน้ำยาเคมียังคงเป็นของบริษัท ช. ยังไม่โอนไปยังโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมไม่เป็นผู้เสียหายที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยได้เมื่อน้ำยาเคมีหายไป โจทก์ย่อมไม่อาจเรียกให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาน้ำยาเคมีแก่โจทก์ร่วมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4746/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อในการมอบอำนาจและการรับจำนองโดยสุจริต ผู้ประมาทต้องรับผิดชอบ
การที่จำเลยที่ 3 ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจซึ่งยังมิได้กรอกข้อความแล้วมอบ ให้ผู้รับมอบอำนาจไปพร้อมทั้งโฉนดที่ดิน แสดงถึงความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 3 อย่างมาก เป็นการยอมเสี่ยงภัยในเมื่อผู้รับมอบอำนาจนำหนังสือมอบอำนาจนั้นไปใช้ในกิจการอย่างอื่นโจทก์เชื่อถือหนังสือมอบอำนาจนั้นจึงได้ทำการรับจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยสุจริต ได้เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิจำนองโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 3 จะอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของตนมาเป็นเหตุให้ตนพ้นจากความรับผิดหาได้ไม่ สุจริตด้วยกันผู้ประมาทเลินเล่อย่อมเป็นผู้เสียเปรียบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4746/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อของผู้มอบอำนาจและการเชื่อถือสุจริตของผู้รับจำนอง
การที่จำเลยที่ 3 ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจซึ่งยังมิได้กรอกข้อความแล้วมอบ ให้ผู้รับมอบอำนาจไปพร้อมทั้งโฉนดที่ดิน แสดงถึงความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 3 อย่างมาก เป็นการยอมเสี่ยงภัยในเมื่อผู้รับมอบอำนาจนำหนังสือมอบ-อำนาจนั้นไปใช้ในกิจการอย่างอื่น โจทก์เชื่อถือหนังสือมอบอำนาจนั้นจึงได้ทำการรับจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยสุจริต ได้เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิจำนองโดย-ชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 3 จะอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของตนมาเป็นเหตุให้ตนพ้นจากความรับผิดหาได้ไม่ สุจริตด้วยกันผู้ประมาทเลินเล่อย่อมเป็นผู้เสียเปรียบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4714/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาและการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชอบ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยอ้างเหตุว่าศาลชั้นต้นไม่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องฟัง หรือถือไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชอบคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223เมื่อผู้ร้องยกเหตุดังกล่าวเป็นข้อฎีกาขึ้นมาแล้วศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียเองโดยไม่ต้องย้อนสำนวน คดีนี้ได้มีการส่งหมายนัดอ่านคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ไปให้ทนายผู้ร้องทราบโดยชอบแล้ว ส่วนคำแถลงของผู้ร้องที่ขอให้ส่งคำคู่ความ ไปยังภูมิลำเนาของผู้ร้องนั้น ปรากฏว่าผู้ร้องได้ยื่นไว้ ในคดีอื่น มิได้ยื่นไว้ในคดีนี้ ดังนั้น จึงต้องถือว่า ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องฟังโดยชอบแล้ว ไม่ชอบที่ผู้ร้องจะมา ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องฎีกา เมื่อล่วงเลยกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้น ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4714/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นฎีกาเกินกำหนด: การแจ้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และการขอขยายระยะเวลา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยอ้างเหตุว่าศาลชั้นต้นไม่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องฟัง หรือถือไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชอบคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ตามป.วิ.พ.มาตรา 223 เมื่อผู้ร้องยกเหตุดังกล่าวเป็นข้อฎีกาขึ้นมาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียเองโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
คดีนี้ได้มีการส่งหมายนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปให้ทนายผู้ร้องทราบโดยชอบแล้ว ส่วนคำแถลงของผู้ร้องที่ขอให้ส่งคำคู่ความไปยังภูมิลำเนาของผู้ร้องนั้น ปรากฏว่าผู้ร้องได้ยื่นไว้ในคดีอื่น มิได้ยื่นไว้ในคดีนี้ ดังนั้น จึงต้องถือว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องฟังโดยชอบแล้ว ไม่ชอบที่ผู้ร้องจะมาขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องฎีกาเมื่อล่วงเลยกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้
of 23