คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เริงธรรม ลัดพลี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 325 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2634/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แม้ผู้ขับไม่มีใบอนุญาต แต่จำเลยต้องรับผิดหากพิสูจน์ไม่ได้ว่าอุบัติเหตุเกิดจากความประมาทของผู้ขับ
ตามสัญญาประกันภัย คู่สัญญาตกลงยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัยว่าการประกันภัยจะไม่คุ้มครองการขับขี่โดยบุคคลที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ใด ๆ ในเวลาเกิดอุบัติเหตุแต่การยกเว้นดังกล่าว จะไม่นำมาใช้กรณีที่ความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดขึ้นและมิใช่ความประมาทของผู้ขับขี่รถยนต์ที่เอาประกันภัยดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าในขณะเกิดอุบัติเหตุผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้จะไม่มีหรือไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ก็ตาม แต่เมื่อผู้รับประกันภัยไม่ได้ต่อสู้ว่าเหตุเกิดเพราะความประมาทของผู้เอาประกันภัยแล้วผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2634/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แม้ผู้ขับขี่ไม่มีใบอนุญาต แต่จำเลยต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย หากพิสูจน์ไม่ได้ว่าเกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่
เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยกำหนดว่า การประกันภัยไม่คุ้มครองการขับขี่โดยบุคคลที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ใด ๆ หรือเคยได้รับแต่ขาดต่ออายุเกินกว่า 180 วัน หรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิตามกฎหมายในการขับรถยนต์ในเวลาเกิดอุบัติเหตุ แต่การยกเว้นนี้จะไม่นำมาใช้ในกรณีที่มีความเสียหายต่อรถที่เกิดขึ้นมิใช่ความประมาทของผู้ขับขี่รถยนต์ที่เอาประกันภัยดังนี้ แม้จะปรากฏว่าในขณะเกิดเหตุรถยนต์ชนกัน ผู้ขับขี่รถที่เอาประกันภัยไม่มีหรือไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ก็ตาม เมื่อจำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ว่าเหตุเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับขี่ และฟ้องมิได้กล่าวไว้เช่นนั้น จำเลยย่อมไม่อาจนำข้อยกเว้นดังกล่าวมาใช้ปัดความรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2632/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนของบริษัทรับฝากเงินเกินอำนาจ บริษัทต้องรับผิดต่อผู้ฝาก แม้จะไม่มีการประทับตรา
บริษัทจำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพัฒนาและเพื่อการเคหะ โจทก์ได้ฝากเงินไว้กับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คให้โจทก์ โดยไม่มีการประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ทักท้วงไปยังเลขานุการของจำเลยที่ 2 ก็ได้รับ คำตอบว่าใช้ได้เมื่อถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยพนักงานของจำเลยที่ 1 ก็นำดอกเบี้ยไปชำระให้แก่โจทก์ ซองใส่เอกสารที่มอบให้โจทก์เป็นของจำเลยที่ 1 พฤติการณ์ดังกล่าวทำให้บุคคลภายนอกโดยทั่วไปเชื่อว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 1 ตลอดมาโจทก์ไม่ได้ตกลงหรือรู้เห็นด้วยว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการกำหนดให้บริษัทเงินทุนปฏิบัติในการกู้ยืมเงินหรือรับเงินจากประชาชนและการกำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่บริษัทเงินทุนจะ จ่ายหรืออาจเรียกได้ จึงมิใช่นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายอันจะเป็นการนอกวัตถุประสงค์ ของบริษัทจำเลยที่ 1 ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับเงินจากโจทก์แล้วไม่ได้มอบหรือนำเงินเข้าบัญชีให้ จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็น ตัวแทนไม่ส่งมอบทรัพย์สินที่ได้มาแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการ และแม้หากตัวแทนจะอาศัยตำแหน่งหน้าที่อ้างชื่อจำเลยที่ 1 หาประโยชน์ใส่ตนก็ตามจำเลยที่ 1 ก็จะอ้างเอาการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็น ตัวแทนของตนกระทำการทุจริตหรือไม่ส่งมอบเงินแก่ตน นั้นมาบอกปัดความรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2487/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ที่ไม่ตรงกับข้อต่อสู้เดิมในศาลชั้นต้น ถือเป็นข้อใหม่ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยได้
จำเลยอ้างในอุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกวงแชร์ไม่ฟ้องนายวงแชร์ นายวงแชร์และโจทก์ต้องคบคิดกันฉ้อฉลจำเลย แต่ตามคำให้การเป็นเรื่องที่จำเลยต่อสู้ว่า เมื่อแชร์ล้ม นายวงแชร์หลบหนีจำเลยยังไม่ได้เปียแชร์อีกมือหนึ่ง แต่ส่งเงินค่าแชร์ไปแล้วพอดีกับเงินค่าแชร์ที่จะต้องส่งต่อไป สำหรับแชร์มือที่จำเลยได้เปียไปแล้ว จำเลยได้หักกลบลบหนี้กับนายวงแชร์ แต่นายวงแชร์มอบเช็คพิพาทให้โจทก์โดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลย ทั้งที่โจทก์รู้อยู่แล้วว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับนายวงแชร์เหตุแห่งการต่อสู้คดีในเรื่องโจทก์และนายวงแชร์คบคิดกันฉ้อฉลจำเลยตามอุทธรณ์และตามที่จำเลยให้การไว้ เป็นคนละเรื่องแตกต่างกัน อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย และพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยนั้นชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2418/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้ทรงเช็ค: ไม่ต้องบรรยายรายละเอียดการรับโอนเช็คเพื่อฟ้องเรียกเงิน
เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ โจทก์ ซึ่งเป็นผู้ถือเช็คพิพาทจึงเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 904 และตามมาตรา 914 บัญญัติไว้ความว่าบุคคลผู้สั่งจ่ายย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้ยื่นโดยชอบแล้วจะมี ผู้ใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋วถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมจ่ายเงินผู้สั่งจ่ายก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง ซึ่งบทบัญญัติมาตรา 914ดังกล่าวนี้มาตรา 989 บัญญัติให้นำมาบังคับให้เรื่องเช็คด้วยเมื่อโจทก์ในฐานะผู้ทรงได้นำเช็คพิพาทเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินและธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้ใช้เงินแก่โจทก์โดยไม่ต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทในฐานะอย่างไรรับโอนมาจากใครเมื่อใด มีมูลหนี้เป็นมาอย่างไร ฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2417/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คด้วยชื่อร้าน ถือเป็นการลงลายมือชื่อของตน ผูกพันตามเช็ค
คำว่า "บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตน" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 วรรคแรก หมายถึง บุคคลธรรมดาที่เขียนลายมือชื่อด้วยตนเองหรือนิติบุคคลตามกฎหมายที่ผู้มีอำนาจกระทำการแทนลงลายมือชื่อกระทำการแทนโดยจะลงชื่อสมมติ หรือนามแฝงหรือชื่อเสียงที่ใช้ในการค้าอันเป็นที่แน่นอนว่าหมายถึงบุคคลใดซึ่งมีเจตนาให้ลายมือชื่อที่ลงในตั๋วเงินนั้นเป็นชื่อของตน การที่จำเลยที่ 2 เขียนคำว่า "แสงรุ้งเรือง" ซึ่งเป็นชื่อร้านของจำเลยที่ 2 ลงด้านหลัง เช็คพิพาททั้งสองฉบับ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เจ้าของร้านเป็นผู้ลงลายมือชื่อของตนในเช็คดังกล่าวจึงเป็นการลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 900 วรรคแรก,919,989 วรรคแรก เมื่อเช็คพิพาทเป็นเช็คผู้ถือจำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ประกัน (อาวัล) จำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 921,940 และ 989 วรรคแรก ย่อมอยู่ในฐานะต้องผูกพันใช้เงินตามเนื้อความในเช็คเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 967,989 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2417/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงชื่อสลักหลังเช็คด้วยชื่อร้านค้า ถือเป็นการลงลายมือชื่อของตนตามกฎหมาย
คำว่า บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 900 วรรคแรก หมายถึง บุคคลธรรมดาที่เขียนลายมือชื่อด้วยตนเองหรือนิติบุคคลตามกฎหมายที่ผู้แทนผู้มีอำนาจกระทำการแทนลงลายมือชื่อกระทำการแทน โดยจะลงชื่อสมมติหรือนามแฝงหรือชื่อเสียงที่ใช้ในทางการค้าซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าหมายถึงบุคคลใด โดยมีเจตนาให้ลายมือชื่อที่ลงในตั๋วเงินเป็นชื่อของตน การที่จำเลยที่ 2เขียนคำว่า แสงรุ้งเรือง ซึ่งเป็นชื่อร้านของจำเลยที่ 2ลงด้านหลังเช็คพิพาททั้งสองฉบับ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อของตนในเช็คดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2415/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ-เช็คค้ำประกัน: สิทธิโจทก์เกิดเมื่อครบกำหนด 60 วัน แม้เรียกเก็บเงินเกิน 6 เดือน จำเลยยังต้องรับผิด
คดีเดิมศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง เพราะเหตุโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากโจทก์นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินในขณะที่ยังไม่พ้นระยะเวลา 60 วัน ตามข้อตกลงที่จำเลยเริ่มจะต้องมีความรับผิดต่อโจทก์ ปัจจุบันพ้นกำหนดระยะเวลา 60วัน ตามข้อตกลงที่จำเลยมีต่อโจทก์ โจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้จาก อ. โจทก์มีสิทธินำเช็คพิพาทที่จำเลยออกให้โจทก์ค้ำประกันหนี้ อ.มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 เช็คพิพาทที่จำเลยออกให้โจทก์ค้ำประกันการหาเงินชำระหนี้ของ อ.จะมีผลใช้บังคับเมื่ออ.ไม่สามารถหาเงินชำระหนี้โจทก์ภายใน 60 วัน เมื่อครบกำหนด 60 วัน อ.หาเงินชำระหนี้โจทก์ไม่ได้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเก็บเงินตามเช็คที่ออกค้ำประกัน อ.ทันที ส่วนโจทก์จะใช้สิทธินำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินเมื่อใดก็เป็นสิทธิของโจทก์แม้จะเป็นระยะเวลาเกิน 6 เดือน นับแต่ อ.ไม่สามารถหาเงินชำระหนี้โจทก์ภายใน 60 วัน จำเลยก็ยังต้องมีความผูกพันชำระหนี้ตามเช็คค้ำประกันอยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2397/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกล้างสัญญาประกันชีวิตเนื่องจากผู้เอาประกันภัยปกปิดเจ็บป่วย สัญญาเป็นโมฆียะ
น. ผู้เอาประกันชีวิตกับจำเลยในขณะทำสัญญาประกันชีวิตมีสุขภาพไม่สมบูรณ์โดยป่วยเป็นโรคเบาหวานและโรคตับแข็ง และละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงให้จำเลยทราบ ซึ่งหากจำเลยทราบจะบอกปัดไม่ตกลงทำสัญญาประกันชีวิตกับ น.การปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้จำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง สัญญาประกันชีวิตระหว่างจำเลยกับ น.จึงตกเป็นโมฆียะ เมื่อจำเลยได้บอกล้างสัญญาแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาต่อโจทก์ ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อความจริงให้ผู้รับประกันภัยทราบจะถือว่าการไม่ตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันภัยก่อนเป็นการละเว้นหาได้ไม่ แม้การประกันชีวิตในทุนประกันต่ำตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพผู้เอาประกันภัยก็ยังถือไม่ได้ว่าผู้รับประกันภัยไม่ถือเอาเรื่องสุขภาพของผู้เอาประกันภัยเป็นสำคัญ สัญญาประกันชีวิตที่กระทำโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคแรก เป็นโมฆียะผู้รับประกันภัยย่อมใช้สิทธิบอกล้างได้ หากไม่ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาดังกล่าวย่อมใช้บังคับได้ จึงเป็นสิทธิของผู้รับประกันภัยจะบอกล้างหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น แม้ผู้รับประกันภัยจะใช้สิทธิบอกล้างแต่เพียงเฉพาะสัญญารายใดก็หาเป็นการไม่ชอบไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2397/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปิดเผยข้อมูลสุขภาพในสัญญาประกันชีวิต และสิทธิบอกล้างสัญญาของผู้รับประกันภัย
ผู้เอาประกันภัยในสัญญาประกันชีวิตซึ่งการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของตนเป็นสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 865 วรรคแรก มีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้น หรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาให้ผู้รับประกันภัยทราบ และจะถือว่าการที่ผู้รับประกันภัยไม่ตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันภัยก่อนเป็นการละเลยหาได้ไม่ แม้การประกันชีวิตในทุนประกันภัยต่ำตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันภัยก็ยังถือไม่ได้ว่าผู้รับประกันภัยไม่ถือเอาเรื่องสุขภาพของผู้เอาประกันภัยเป็นสำคัญ สัญญาประกันภัยชีวิตที่กระทำโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคแรก เป็นโมฆียะมีผลให้ผู้รับประกันภัยใช้สิทธิบอกล้างได้ หากผู้รับประกันภัยไม่ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาดังกล่าวย่อมใช้บังคับได้ จึงเป็นสิทธิของผู้รับประกันภัยจะบอกล้างหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น แม้ผู้รับประกันภัยจะใช้สิทธิบอกล้างแต่เพียงเฉพาะสัญญารายใดก็หาเป็นการไม่ชอบไม่
of 33