พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,328 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2792/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้ทรงเช็ค: การกระทำแทนตัวการสร้างนิติสัมพันธ์ระหว่างผู้ทรงเช็คและผู้สั่งจ่าย
จำเลยมาขอกู้ยืมเงินจาก ส. แต่ ส. ไม่มีเงินสดพอจึงได้ติดต่อขอให้โจทก์ยินยอมให้จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ เมื่อโจทก์ตกลงให้กู้จึงได้นำเงินมามอบให้แก่ ส. เพื่อส่งมอบให้จำเลย ซึ่งจำเลยได้รับเงินไปจาก ส. และมอบเช็คพิพาทให้ ส. ไปเป็นเช็คเงินสดหรือผู้ถือที่จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่าย การที่ ส. ส่งมอบเงินให้จำเลยและรับเช็คพิพาทจากจำเลยไว้ ถือได้ว่าเป็นการกระทำแทนโจทก์ในฐานะตัวการ เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ ส. นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีของโจทก์ แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คและมีนิติสัมพันธ์กับจำเลย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2752/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน: ผลบังคับใช้ แม้ไม่ได้บัญญัติชัดในกฎหมาย
ตาม ป.พ.พ.บรรพ 3 เอกเทศสัญญา มิได้บัญญัติกำหนดวิธีการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินไว้โดยเฉพาะเจาะจง ทั้งข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้เรียกว่าเป็นสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน การที่โจทก์บรรยายคำฟ้องตั้งข้อเรียกร้องตามข้อตกลงในสัญญาโดยเรียกชื่อว่าเป็นสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน และข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวมิได้ต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีงามของประชาชน เช่นนี้ แม้ผู้ออกตั๋วทำสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินเองก็มีผลบังคับได้ จำเลยมีความผูกพันต้องรับผิดตามสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2752/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินที่ผู้ออกตั๋วทำเอง มีผลผูกพันตามกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 เอกเทศสัญญา มิได้บัญญัติกำหนดวิธีการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินไว้โดยเฉพาะเจาะจงทั้งข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้เรียกว่าเป็นสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน การที่โจทก์บรรยายคำฟ้องตั้งข้อเรียกร้องตามข้อตกลงในสัญญาโดยเรียกว่าเป็นสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน และข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวมิได้ต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีงามของประชาชน เช่นนี้ แม้ผู้ออกตั๋วทำสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินเองก็มีผลบังคับได้ จำเลยมีความผูกพันต้องรับผิดตามสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2752/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินที่ผู้ออกตั๋วทำเอง มีผลผูกพันตามกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ3เอกเทศสัญญามิได้บัญญัติกำหนดวิธีการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินไว้โดยเฉพาะเจาะจงทั้งข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้เรียกว่าเป็นสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินการที่โจทก์บรรยายคำฟ้องตั้งข้อเรียกร้องตามข้อตกลงในสัญญาโดยเรียกว่าเป็นสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินและข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวมิได้ต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีงามของประชาชนเช่นนี้แม้ผู้ออกตั๋วทำสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินเองก็มีผลบังคับได้จำเลยมีความผูกพันต้องรับผิดตามสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2748/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุมเมื่อระบุความสัมพันธ์ของจำเลยกับผู้กระทำละเมิด และการรับช่วงสิทธิในสัญญาประกันภัย
โจทก์ได้บรรยายมาในคำฟ้องแล้วว่าจำเลยที่1เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน80-5080สมุทรสาครโดยเป็นนายจ้างหรือเป็นตัวการได้ใช้จ้างวานให้ผู้ขับซึ่งเป็นลูกจ้างในทางการที่จ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่1เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่1ในฐานะเป็นตัวการแล้วผู้ขับดังกล่าวได้กระทำละเมิดชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหายดังนี้คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งว่าประการแรกผู้ขับขี่เป็นทั้งลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่1และประการที่สองเป็นตัวแทนซึ่งขับรถโดยมีจำเลยที่1เป็นตัวการเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่1ในฐานะตัวการเพื่อให้จำเลยที่1รับผิดทั้งสองประการจึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองคำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา862วรรคสองผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยซึ่งระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์อาจเป็นคนละคนกับผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัยแต่ความหมายของผู้เอาประกันภัยตามกฎหมายต้องเป็นผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัยเท่านั้นดังนั้นเมื่อส. เป็นผู้ส่งเบี้ยประกันภัยจึงเป็นผู้เอาประกันภัยส่วนที่ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุชื่อช.บุตรส. ช.จึงเป็นเพียงผู้รับประโยชน์และเมื่อคดีนี้มิได้พิพาทกันเองระหว่างคู่สัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัยแต่เป็นกรณีที่โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์ไปแล้วโดยรับช่วงสิทธิมาเนื่องจากรถยนต์ซึ่งเอาประกันภัยไว้เกิดวินาศภัยขึ้นการที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าส.เป็นผู้เอาประกันภัยแต่ตามตารางกรมธรรม์มีชื่อช.ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบต่างกับคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2748/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของคำฟ้องและการระบุตัวผู้เอาประกันภัยในสัญญาประกันภัย
โจทก์ได้บรรยายมาในคำฟ้องแล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5080 สมุทรสาคร โดยเป็นนายจ้างหรือเป็นตัวการได้ใช้จ้างวานให้ผู้ขับซึ่งเป็นลูกจ้างในทางการที่จ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นตัวการ แล้วผู้ขับดังกล่าวได้กระทำละเมิดชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งว่า ประการแรกผู้ขับขี่เป็นทั้งลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และประการที่สองเป็นตัวแทนซึ่งขับรถโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นตัวการเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการ เพื่อให้จำเลยที่ 1 รับผิดทั้งสองประการ จึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 862 วรรคสองผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยซึ่งระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์อาจเป็นคนละคนกับผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัย แต่ความหมายของผู้เอาประกันภัยตามกฎหมายต้องเป็นผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัยเท่านั้น ดังนั้น เมื่อ ส. เป็นผู้ส่งเบี้ยประกันภัยจึงเป็นผู้เอาประกันภัย ส่วนที่ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุชื่อ ช.บุตรส.ช.จึงเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ และเมื่อคดีนี้มิได้พิพาทกันเองระหว่างคู่สัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัย แต่เป็นกรณีที่โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์ไปแล้วโดยรับช่วงสิทธิมาเนื่องจากรถยนต์ซึ่งเอาประกันภัยไว้เกิดวินาศภัยขึ้น การที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าส.เป็นผู้เอาประกันภัยแต่ตามตารางกรมธรรม์มีชื่อช.ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบต่างกับคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2748/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของคำฟ้องกรณีตัวการ-ตัวแทน และการระบุตัวผู้เอาประกันภัยในสัญญาประกันภัย
โจทก์ได้บรรยายมาในคำฟ้องแล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80 - 5080 สมุทรสาคร โดยเป็นนายจ้างหรือเป็นตัวการได้ใช้จ้างวานให้ผู้ขับซึ่งเป็นลูกจ้างในทางการที่จ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นตัวการ แล้วผู้ขับดังกล่าวได้กระทำละเมิดชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งว่า ประการแรกผู้ขับซึ่งเป็นทั้งลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และประการที่สองเป็นตัวแทนซึ่งขับรถโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นตัวการเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการ เพื่อให้จำเลยที่ 1 รับผิดทั้งสองประการ จึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 862 วรรคสอง ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยซึ่งระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์อาจเป็นคนละคนกับผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัย แต่ความหมายของผู้เอาประกันภัยตามกฎหมายต้องเป็นผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัยเท่านั้นดังนั้น เมื่อ ส.เป็นผู้ส่งเบี้ยประกันภัยจึงเป็นผู้เอาประกันภัย ส่วนที่ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุชื่อ ช.บุตร ส. ช.จึงเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ และเมื่อคดีนี้มิได้พิพาทกันเองระหว่างคู่สัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัย แต่เป็นกรณีที่โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์ไปแล้วโดยรับช่วงสิทธิมาเนื่องจากรถยนต์ซึ่งเอาประกันภัยไว้เกิดวินาศภัยขึ้น การที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่า ส.เป็นผู้เอาประกันภัย แต่ตามตารางกรมธรรม์มีชื่อ ช.ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบต่างกับคำฟ้อง
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 862 วรรคสอง ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยซึ่งระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์อาจเป็นคนละคนกับผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัย แต่ความหมายของผู้เอาประกันภัยตามกฎหมายต้องเป็นผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัยเท่านั้นดังนั้น เมื่อ ส.เป็นผู้ส่งเบี้ยประกันภัยจึงเป็นผู้เอาประกันภัย ส่วนที่ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุชื่อ ช.บุตร ส. ช.จึงเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ และเมื่อคดีนี้มิได้พิพาทกันเองระหว่างคู่สัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัย แต่เป็นกรณีที่โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์ไปแล้วโดยรับช่วงสิทธิมาเนื่องจากรถยนต์ซึ่งเอาประกันภัยไว้เกิดวินาศภัยขึ้น การที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่า ส.เป็นผู้เอาประกันภัย แต่ตามตารางกรมธรรม์มีชื่อ ช.ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบต่างกับคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2639/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย กรณีผู้ขับขี่ขาดต่ออายุใบอนุญาต แต่ความเสียหายมิใช่เกิดจากความประมาท
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด โดยกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อน ก่อนสืบพยานโจทก์คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้เอาประกันภัยรถยนต์พิพาทไว้แก่จำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยท้ายคำแถลงของจำเลย และผู้ขับรถที่เอาประกันภัยไม่ได้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถยนต์เกินกว่า 180 วัน และขอให้วินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเข้าข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 1.10 และ 3.9.2 เป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์และจำเลยแถลงไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นจึงได้นัดฟังคำพิพากษา ดังนี้ กรณีจึงถือได้ว่าโจทก์และจำเลยได้สละข้อต่อสู้อื่น ๆ แล้ว ทั้งตามคำให้การของจำเลย จำเลยก็มิได้อ้างเหตุว่า ผู้ขับรถที่เอาประกันภัยไว้เป็นฝ่ายประมาท ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ขับรถที่เอาประกันภัยไว้ไม่ได้ขับรถโดยประมาทนั้น กรณีจึงเป็นไปตามคำฟ้องของโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้น จึงเป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว และหาใช่เป็นการวินิจฉัยเกินไปหรือนอกเหนือจากคำฟ้องไม่
ตามตารางกรมธรรม์ ข้อ 1.10 มีข้อความว่า "บริษัทอาจจะไม่รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์นี้ เว้นแต่ผู้เอาประกันภัยได้ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาประกันภัย และเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์นี้" ซึ่งมีความหมายรวมถึงเงื่อนไขตามข้อกำหนดของสัญญาทุก ๆ ข้อ และรวมถึง ข้อ 3.9 ตอนท้ายด้วย และข้อ3.9.2 มีข้อความว่า "การขับขี่โดยบุคคลที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ใด ๆหรือเคยได้รับแต่ขาดต่ออายุเกิน 180 วัน ฯลฯ ในเวลาเกิดอุบัติเหตุ" และตอนท้ายของข้อ 3.9 มีข้อความว่า "การยกเว้นตามข้อ 3.9 จะไม่นำมาใช้ในกรณีที่ความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดขึ้นและมิใช่ความประมาทของผู้ขับขี่รถยนต์ที่เอาประกันภัยตามกรมธรรม์นี้" ดังนี้ เมื่อผู้ขับรถที่เอาประกันภัยไว้แม้จะขาดต่ออายุใบอนุญาตขับรถยนต์เกิน 180 วัน แต่กรณีที่ความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดขึ้นและมิใช่เป็นความประมาทของผู้ขับ จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ ตามตารางกรมธรรม์ ข้อ 1.10 ต่อโจทก์
ตามตารางกรมธรรม์ ข้อ 1.10 มีข้อความว่า "บริษัทอาจจะไม่รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์นี้ เว้นแต่ผู้เอาประกันภัยได้ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาประกันภัย และเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์นี้" ซึ่งมีความหมายรวมถึงเงื่อนไขตามข้อกำหนดของสัญญาทุก ๆ ข้อ และรวมถึง ข้อ 3.9 ตอนท้ายด้วย และข้อ3.9.2 มีข้อความว่า "การขับขี่โดยบุคคลที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ใด ๆหรือเคยได้รับแต่ขาดต่ออายุเกิน 180 วัน ฯลฯ ในเวลาเกิดอุบัติเหตุ" และตอนท้ายของข้อ 3.9 มีข้อความว่า "การยกเว้นตามข้อ 3.9 จะไม่นำมาใช้ในกรณีที่ความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดขึ้นและมิใช่ความประมาทของผู้ขับขี่รถยนต์ที่เอาประกันภัยตามกรมธรรม์นี้" ดังนี้ เมื่อผู้ขับรถที่เอาประกันภัยไว้แม้จะขาดต่ออายุใบอนุญาตขับรถยนต์เกิน 180 วัน แต่กรณีที่ความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดขึ้นและมิใช่เป็นความประมาทของผู้ขับ จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ ตามตารางกรมธรรม์ ข้อ 1.10 ต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2639/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์: การยกเว้นความรับผิดเมื่อผู้ขับขี่ขาดต่ออายุใบอนุญาต แต่ความเสียหายมิใช่จากความประมาท
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด โดยกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อน ก่อนสืบพยานโจทก์คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้เอาประกันภัยรถยนต์พิพาทไว้แก่จำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยท้ายคำแถลงของจำเลย และผู้ขับรถที่เอาประกันภัยไม่ได้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถยนต์เกินกว่า 180 วัน และขอให้วินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเข้าข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 1.10 และ 3.9.2 เป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์และจำเลยแถลงไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นจึงได้นัดฟังคำพิพากษา ดังนี้ กรณีจึงถือได้ว่า โจทก์และจำเลยได้สละข้อต่อสู้อื่น ๆ แล้ว ทั้งตามคำให้การของจำเลย จำเลยก็มิได้อ้างเหตุว่า ผู้ขับรถที่เอาประกันภัยไว้เป็นฝ่ายประมาท ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ขับรถที่เอาประกันภัยไว้ไม่ได้ขับรถโดยประมาทนั้น กรณีจึงเป็นไปตามคำฟ้องของโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้น จึงเป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้วและหาใช่เป็นการวินิจฉัยเกินไปหรือนอกเหนือจากคำฟ้องไม่ ตามตารางกรมธรรม์ ข้อ 1.10 มีข้อความว่า "บริษัทอาจจะไม่รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์นี้ เว้นแต่ผู้เอาประกันภัยได้ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาประกันภัย และเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์นี้"ซึ่งมีความหมายรวมถึงเงื่อนไขตามข้อกำหนดของสัญญาทุก ๆ ข้อและรวมถึง ข้อ 3.9 ตอนท้ายด้วย และข้อ 3.9.2 มีข้อความว่า"การขับขี่โดยบุคคลที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ใด ๆ หรือเคยได้รับแต่ขาดต่ออายุเกิน 180 วัน ฯลฯ ในเวลาเกิดอุบัติเหตุ"และตอนท้ายของข้อ 3.9 มีข้อความว่า "การยกเว้นตามข้อ 3.9จะไม่นำมาใช้ในกรณีที่ความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดขึ้นและมิใช่ความประมาทของผู้ขับขี่รถยนต์ที่เอาประกันภัยตามกรมธรรม์นี้"ดังนี้ เมื่อผู้ขับรถที่เอาประกันภัยไว้แม้จะขาดต่ออายุใบอนุญาตขับรถยนต์เกิน 180 แต่กรณีที่ความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดขึ้นและมิใช่เป็นความประมาทของผู้ขับ จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ ตามตารางกรมธรรม์ข้อ 1.10 ต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2639/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรมธรรม์ประกันภัย: การยกเว้นความรับผิดเมื่อผู้ขับขี่ใบอนุญาตหมดอายุ แต่ความเสียหายมิใช่จากความประมาท
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่เพียงใดโดยกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อนก่อนสืบพยานโจทก์คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้เอาประกันภัยรถยนต์พิพาทไว้แก่จำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยท้ายคำแถลงของจำเลยและผู้ขับรถที่เอาประกันภัยไม่ได้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถยนต์เกินกว่า180วันและขอให้วินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายว่าตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเข้าข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ1.10และ3.9.2เป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่โจทก์และจำเลยแถลงไม่สืบพยานศาลชั้นต้นจึงได้นัดฟังคำพิพากษาดังนี้กรณีจึงถือได้ว่าโจทก์และจำเลยได้สละข้อต่อสู้อื่นๆแล้วทั้งตามคำให้การของจำเลยจำเลยก็มิได้อ้างเหตุว่าผู้ขับรถที่เอาประกันภัยไว้เป็นฝ่ายประมาทดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ขับรถที่เอาประกันภัยไว้ไม่ได้ขับรถโดยประมาทนั้นกรณีจึงเป็นไปตามคำฟ้องของโจทก์การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นจึงเป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้วและหาใช่เป็นการวินิจฉัยเกินไปหรือนอกเหนือจากคำฟ้องไม่ ตามตารางกรมธรรม์ข้อ1.10มีข้อความว่า"บริษัทอาจจะไม่รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์นี้เว้นแต่ผู้เอาประกันภัยได้ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาประกันภัยและเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์นี้"ซึ่งมีความหมายรวมถึงเงื่อนไขตามข้อกำหนดของสัญญาทุกๆข้อและรวมถึงข้อ3.9ตอนท้ายด้วยและข้อ3.9.2มีข้อความว่า"การขับขี่โดยบุคคลที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ใดๆหรือเคยได้รับแต่ขาดต่ออายุเกิน180วันฯลฯในเวลาเกิดอุบัติเหตุ"และตอนท้ายของข้อ3.9มีข้อความว่า"การยกเว้นตามข้อ3.9จะไม่นำมาใช้ในกรณีที่ความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดขึ้นและมิใช่ความประมาทของผู้ขับขี่รถยนต์ที่เอาประกันภัยตามกรมธรรม์นี้"ดังนี้เมื่อผู้ขับรถที่เอาประกันภัยไว้แม้จะขาดต่ออายุใบอนุญาตขับรถยนต์เกิน180แต่กรณีที่ความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดขึ้นและมิใช่เป็นความประมาทของผู้ขับจำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ตามตารางกรมธรรม์ข้อ1.10ต่อโจทก์