พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,328 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9058/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกหนี้ตามเช็คและความขัดแย้งจากสัญญาสนธิสัญญา ไม่ตัดสิทธิฟ้องร้องต่อศาล
โจทก์ที่ 1 ฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำะเงินตามเช็คที่จำเลยที่ 1มอบให้โจทก์ที่ 1 เพื่อชำระหนี้ ถึงแม้โจทก์ที่ 1 จะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าชำระหนี้อะไรก็เป็นรายละเอียดที่โจทก์ที่ 1 สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ดังนั้น ฟ้องโจทก์ที่ 1จึงไม่เคลือบคลุม
ข้อความตามสัญญาแต่งตั้งการเป็นผู้แทนจำหน่ายระบุว่า ในกรณีที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นเจ้าของผลิตภัณฑ์จะแต่งตั้งให้โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 และผู้แทนจัดจำหน่ายจะแต่งตั้งให้ ส.เป็นผู้มีอำนาจเต็มในการตกลงข้อขัดแย้ง และให้ถือว่าข้อตกลงนั้นเป็นที่สิ้นสุดยอมรับกันทั้งสองฝ่ายนั้น ตามข้อสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นการตั้งอนุญาโตตุลาการหลายคนให้เป็นผู้มีอำนาจในการตกลงข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปฏิบัติตามสัญญาแต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายสินค้า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูลหนี้ตามเช็คพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าหนี้ตามเช็คพิพาทเกิดจากสัญญาแต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายดังกล่าว แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมตกลงชำระหนี้ตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ เพราะยังค้างชำระหนี้โจทก์ไม่ถึงจำนวนตามเช็คพิพาท แสดงว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์เกี่ยวกับการชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเท่านั้น ทั้งข้อสัญญาดังกล่าวบอกแต่เพียงว่า เมื่ออนุญาโต-ตุลาการได้ทำการตกลงข้อขัดแย้งแล้วให้ถือว่าข้อตกลงนั้นสิ้นสุดและยอมรับกันเท่านั้นไม่มีข้อความใดบังคับว่าคู่กรณีจำต้องมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการทุกกรณีไป จึงไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องศาล
ข้อความตามสัญญาแต่งตั้งการเป็นผู้แทนจำหน่ายระบุว่า ในกรณีที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นเจ้าของผลิตภัณฑ์จะแต่งตั้งให้โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 และผู้แทนจัดจำหน่ายจะแต่งตั้งให้ ส.เป็นผู้มีอำนาจเต็มในการตกลงข้อขัดแย้ง และให้ถือว่าข้อตกลงนั้นเป็นที่สิ้นสุดยอมรับกันทั้งสองฝ่ายนั้น ตามข้อสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นการตั้งอนุญาโตตุลาการหลายคนให้เป็นผู้มีอำนาจในการตกลงข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปฏิบัติตามสัญญาแต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายสินค้า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูลหนี้ตามเช็คพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าหนี้ตามเช็คพิพาทเกิดจากสัญญาแต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายดังกล่าว แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมตกลงชำระหนี้ตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ เพราะยังค้างชำระหนี้โจทก์ไม่ถึงจำนวนตามเช็คพิพาท แสดงว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์เกี่ยวกับการชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเท่านั้น ทั้งข้อสัญญาดังกล่าวบอกแต่เพียงว่า เมื่ออนุญาโต-ตุลาการได้ทำการตกลงข้อขัดแย้งแล้วให้ถือว่าข้อตกลงนั้นสิ้นสุดและยอมรับกันเท่านั้นไม่มีข้อความใดบังคับว่าคู่กรณีจำต้องมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการทุกกรณีไป จึงไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7320/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำนองประกันหนี้หลายบัญชี: วงเงินจำนอง, โมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ, ดอกเบี้ยทบต้น
ตามสัญญาจำนองระบุว่า จำเลยที่ 2 ตกลงจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อประกันหนี้ทุกชนิดของจำเลยที่ 2และหรือจำเลยที่ 1 ที่มีต่อโจทก์เป็นเงินจำนวน 1,000,000บาท เท่านั้น ดังนั้นตามสัญญาจำนองดังกล่าวจำเลยที่ 2มีความรับผิดในต้นเงินที่จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามบัญชีกระแสรายวันกับต้นเงินที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามบัญชีกระแสรายวันในวงเงินรวมกันเป็นจำนวน 1,000,000 บาทส่วนข้อความตามสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองระบุว่า การกำหนดจำนวนต้นเงินดังกล่าวไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะบังคับจำนองสำหรับหนี้ต้นเงินที่เกินวงเงินไปไม่ว่าเพราะเหตุใด ๆนั้น เป็นข้อตกลงที่ทำให้สัญญาจำนองไม่มีจำนวนเงินที่แน่นอนหรือไม่มีเงินจำนวนขั้นสูงสุดที่ได้เอาทรัพย์จำนองตราไว้เป็นประกันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 708 และเป็นช่องทางให้หลีกเลี่ยงการเสียค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองจึงเป็นโมฆะ แต่จำเลยที่ 2 ยังต้องรับผิดในดอกเบี้ยของหนี้ต้นเงินตามวงเงินจำนองนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 715 ซึ่งโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองโดยถือเอาวันที่หนี้ตามบัญชีกระแสรายวันของจำเลยทั้งสองกับหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 รวมกันได้เต็มวงเงินจำนองดังกล่าวครั้งหลังสุดเป็นวันเริ่มต้นของการคิดดอกเบี้ยทบต้นถึงวันเลิกสัญญา หลังจากนั้นต้องรับผิดในดอกเบี้ยไม่ทบต้นต่อไปจนกว่าจะมีการชำระเสร็จสิ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7291/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบรถจอดในที่รับฝาก ไม่ถือเป็นการฝากทรัพย์ หากไม่มีการส่งมอบกุญแจ จำเลยไม่ต้องรับผิด
ด.และห. นำรถยนต์เข้าไปจอดในบริเวณที่จอดรถที่จำเลยทั้งสองจัดให้มีขึ้นตามที่พนักงานของจำเลยทั้งสองบอกว่าข้างในมีที่จอด โดยได้ชำระเงินค่าจอดรถให้พนักงานของจำเลยทั้งสอง และได้รับใบรับซึ่งมีข้อความว่าบัตรจอดรถโดย ด.และห. ยังคงเก็บกุญแจรถไว้เองแล้วออกไปจากบริเวณที่จอดรถดังกล่าว ยังไม่พอฟังว่าเป็นการส่งมอบรถยนต์ให้แก่จำเลยทั้งสองอันจะทำให้จำเลยทั้งสองอยู่ในฐานะผู้รับฝากทรัพย์มีบำเหน็จ เมื่อรถยนต์ได้สูญหายไป จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7258/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาการยื่นฎีกา: เหตุสุดวิสัยและหน้าที่ของทนายความ
ทนายโจทก์ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตขยายเวลากำหนดยื่นฎีการวมสองครั้งแล้วต่อมาทนายโจทก์อ้างว่าต้องเดินทางไปจัดการแก้ปัญหาเรื่องที่ดินที่จังหวัดระนองเมื่อเสร็จธุรกิจแล้วเช้ามือของวันสุดท้ายที่จะต้องยื่นฎีกาทนายโจทก์ขับรถยนต์กลับกรุงเทพมหานครแต่รถยนต์ออกจากจังหวัดระนองไปได้ประมาณ20กิโลเมตรเศษก็เกิดอุบัติเหตุตกคูน้ำข้างถนนต้องนำรถยนต์ไปซ่อมทนายโจทก์นั่งรถยนต์โดยสารเข้ากรุงเทพมหานครทำฎีกาใหม่ไปยื่นต่อศาลหลังจากพ้นกำหนดเวลาที่ขอขยายไว้ดังนี้ถึงแม้ว่ารถยนต์ส่วนตัวของทนายโจทก์จะเกิดเสียหายในวันสุดท้ายที่จะต้องยื่นฎีกาแต่ทนายโจทก์มิได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นที่ตนอยู่ในเขตศาลในขณะนั้นตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา10 เปิดโอกาสไว้หรือแจ้งต่อกรรมการโจทก์หรือผู้รับมอบอำนาจโจทก์เพื่อให้ตัวความไปร้องขอต่อศาลชั้นต้นเองฉะนั้นเหตุการณ์ตามที่ทนายโจทก์กล่าวอ้างจึงถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษและมีเหตุสุดวิสัยที่ศาลจะขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้แก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7258/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลายื่นฎีกา: เหตุสุดวิสัยต้องแจ้งศาล/ผู้รับมอบอำนาจ หากไม่แจ้งถือมิได้เป็นเหตุพิเศษ
ทนายโจทก์ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตขยายเวลากำหนดยื่นฎีการวมสองครั้งแล้ว ต่อมาทนายโจทก์อ้างว่าต้องเดินทางไปจัดการปัญหาเรื่องที่ดินที่จังหวัดระนอง เมื่อเสร็จธุรกิจแล้ว เช้ามืดของวันสุดท้ายที่จะต้องยื่นฎีกาทนายโจทก์ขับรถยนต์กลับกรุงเทพมหานคร แต่รถยนต์ออกจากจังหวัดระนองไปได้ประมาณ 20 กิโลเมตรเศษ ก็เกิดอุบัติเหตุตกคูน้ำข้างถนนต้องนำรถยนต์ไปซ่อมทนายโจทก์นั่งรถยนต์โดยสารเข้ากรุงเทพมหานครทำฎีกาใหม่ไปยื่นต่อศาลหลังจากพ้นกำหนดเวลาที่ขอขยายไว้ ดังนี้ ถึงแม้ว่ารถยนต์ส่วนตัวของทนายโจทก์จะเกิดเสียหายในวันสุดท้ายที่จะต้องยื่นฎีกา แต่ทนายโจทก์มิได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นที่ตนอยู่ในเขตศาลในขณะนั้นตามที่ ป.วิ.พ.มาตรา 10 เปิดโอกาสไว้หรือแจ้งต่อกรรมการโจทก์หรือผู้รับมอบอำนาจโจทก์เพื่อให้ตัวความไปร้องขอต่อศาลชั้นต้นเอง ฉะนั้นเหตุการณ์ตามที่ทนายโจทก์กล่าวอ้างจึงถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษและมีเหตุสุดวิสัยที่ศาลจะขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้แก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7255/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็ค – ผู้ทรงเช็ค – ความรับผิดของผู้สั่งจ่าย – การโอนเช็ค – ข้อต่อสู้ของผู้สั่งจ่าย
สำเนาภาพถ่ายเช็คและสำเนาภาพถ่ายใบคืนเช็คเอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธถึงความถูกต้องของเช็คและใบคืนเช็คดังกล่าว เมื่อธนาคารตามเช็คที่ถูกปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับตั้งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ย่อมถือได้ว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ที่ศาลดังกล่าวได้ ตามป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็คตามฟ้องเพื่อชำระหนี้เงินยืมให้โจทก์ แล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับโดยระบุรายละเอียดของเช็คทุกฉบับพร้อมกับแนบสำเนาภาพถ่ายเช็คและสำเนาภาพถ่ายใบคืนเช็คมาท้ายฟ้องพร้อมทั้งคำขอบังคับ ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง ครบถ้วนแล้วส่วนมูลหนี้ตามเช็คจะเป็นการชำระหนี้สำหรับการกู้เงินครั้งใดเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ที่จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลรับฟังเช็คและใบคืนเช็คตามฟ้องโดยไม่มีการสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดโดยโจทก์เพียงแต่ระบุว่าเป็นหนี้จากการกู้ยืมหาเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งหมดได้ไม่นั้น ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับฟ้องเคลือบคลุม แต่เป็นปัญหาว่าตามคำฟ้องและคำให้การจะมีประเด็นที่ต้องสืบพยานกันต่อไปหรือไม่ ไม่มีผลทำให้ฟ้องที่ไม่เคลือบคลุมนั้นเปลี่ยนแปลงไป
ฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้อง จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธไว้ กลับให้การว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องให้บุคคลอื่น จึงฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท
เช็คตามฟ้องทุกฉบับเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสดหรือสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 918เมื่อเช็คตามฟ้องตกมาอยู่ในความครอบครองของโจทก์ในฐานะผู้ถือ โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนเช็คมาโดยไม่สุจริตแต่ประการใด เพราะจำเลยให้การแต่เพียงว่าโจทก์จะได้รับเช็คตามฟ้องมาอย่างไร จำเลยไม่ทราบย่อมไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบว่าโจทก์ครอบครองเช็คมาโดยสุจริตหรือไม่จึงต้องฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 904 ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องให้แก่ ม.เป็นการชำระดอกเบี้ยล่วงหน้าเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นโมฆะทั้งหมด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เป็นการยกข้อต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยผู้สั่งจ่ายกับ ม.ผู้ทรงคนก่อนแต่คำให้การของจำเลยมิได้กล่าวอ้างต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนเช็คตามฟ้องจาก ม.ด้วยคบคิดกันฉ้อฉลกับโจทก์ จำเลยย่อมไม่มีประเด็นจะนำสืบในข้อนี้ ดังนั้นจำเลยซึ่งลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทซึ่งเป็นตั๋วเงินประเภทหนึ่งจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นในฐานะผู้สั่งจ่าย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 และ 914ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยนั้นชอบแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็คตามฟ้องเพื่อชำระหนี้เงินยืมให้โจทก์ แล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับโดยระบุรายละเอียดของเช็คทุกฉบับพร้อมกับแนบสำเนาภาพถ่ายเช็คและสำเนาภาพถ่ายใบคืนเช็คมาท้ายฟ้องพร้อมทั้งคำขอบังคับ ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง ครบถ้วนแล้วส่วนมูลหนี้ตามเช็คจะเป็นการชำระหนี้สำหรับการกู้เงินครั้งใดเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ที่จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลรับฟังเช็คและใบคืนเช็คตามฟ้องโดยไม่มีการสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดโดยโจทก์เพียงแต่ระบุว่าเป็นหนี้จากการกู้ยืมหาเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งหมดได้ไม่นั้น ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับฟ้องเคลือบคลุม แต่เป็นปัญหาว่าตามคำฟ้องและคำให้การจะมีประเด็นที่ต้องสืบพยานกันต่อไปหรือไม่ ไม่มีผลทำให้ฟ้องที่ไม่เคลือบคลุมนั้นเปลี่ยนแปลงไป
ฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้อง จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธไว้ กลับให้การว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องให้บุคคลอื่น จึงฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท
เช็คตามฟ้องทุกฉบับเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสดหรือสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 918เมื่อเช็คตามฟ้องตกมาอยู่ในความครอบครองของโจทก์ในฐานะผู้ถือ โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนเช็คมาโดยไม่สุจริตแต่ประการใด เพราะจำเลยให้การแต่เพียงว่าโจทก์จะได้รับเช็คตามฟ้องมาอย่างไร จำเลยไม่ทราบย่อมไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบว่าโจทก์ครอบครองเช็คมาโดยสุจริตหรือไม่จึงต้องฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 904 ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องให้แก่ ม.เป็นการชำระดอกเบี้ยล่วงหน้าเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นโมฆะทั้งหมด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เป็นการยกข้อต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยผู้สั่งจ่ายกับ ม.ผู้ทรงคนก่อนแต่คำให้การของจำเลยมิได้กล่าวอ้างต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนเช็คตามฟ้องจาก ม.ด้วยคบคิดกันฉ้อฉลกับโจทก์ จำเลยย่อมไม่มีประเด็นจะนำสืบในข้อนี้ ดังนั้นจำเลยซึ่งลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทซึ่งเป็นตั๋วเงินประเภทหนึ่งจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นในฐานะผู้สั่งจ่าย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 และ 914ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยนั้นชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7176/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลและผลของการปกปิดข้อมูลทางการแพทย์ในการทำสัญญาประกันชีวิต
จำเลยโดยค.ผู้เป็นตัวแทนและผู้ตายทำความตกลงกันให้ผู้ตายทำคำขอเอาประกันชีวิตที่จังหวัดสตูลแล้วค. เป็นผู้นำใบคำขอเอาประกันชีวิตเสนอจำเลยซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานครพิจารณาตกลงรับทำสัญญาประกันชีวิตทั้งการส่งเบี้ยประกันภัยผู้ตายก็ยังคงมอบให้ค.ที่จังหวัดสตูลเพื่อส่งให้แก่จำเลยต่อไปถือได้ว่ามูลคดีจากการทำสัญญาประกันชีวิตรายนี้เกิดที่จังหวัดสตูลโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดสตูลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(1) สารสำคัญของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา865อยู่ที่ว่าถ้าผู้เอาประกันภัยรู้อยู่แล้วละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจูงใจให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาสัญญาประกันชีวิตจึงจะตกเป็นโมฆียะการที่ผู้ตายมิได้แจ้งเรื่องเคยเข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลและคลีนิกเกี่ยวกับกามโรคหนองในเทียมและซิฟิลิสให้จำเลยทราบยังไม่ถึงขนาดที่จะอนุมานได้ว่าถ้าได้แจ้งเช่นนั้นจะทำให้จำเลยบอกปัดไม่รับประกันชีวิตหรือเรียกเบี้ยประกันภัยให้สูงขึ้นอันจะทำให้สัญญาประกันชีวิตที่ทำไว้เป็นโมฆียะตามบทมาตรานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7176/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานที่ทำสัญญาประกันภัยและผลของการไม่เปิดเผยข้อมูลสุขภาพ
จำเลยโดย ค.ผู้เป็นตัวแทนและผู้ตายทำความตกลงกันให้ผู้ตายทำคำขอเอาประกันชีวิตที่จังหวัดสตูล แล้ว ค.เป็นผู้นำใบคำขอเอาประกันชีวิตเสนอจำเลยซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานครพิจารณาตกลงรับทำสัญญาประกันชีวิต ทั้งการส่งเบี้ยประกันภัยผู้ตายก็ยังคงมอบให้ ค.ที่จังหวัดสตูลเพื่อส่งให้แก่จำเลยต่อไป ถือได้ว่ามูลคดีจากการทำสัญญาประกันชีวิตรายนี้เกิดที่จังหวัดสตูล โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดสตูลได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)
สารสำคัญของ ป.พ.พ.มาตรา 865 อยู่ที่ว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยรู้อยู่แล้วละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจูงใจให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญา สัญญาประกันชีวิตจึงจะตกเป็นโมฆียะ การที่ผู้ตายมิได้แจ้งเรื่องเคยเข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลและคลินิกเกี่ยวกับกามโรคหนองในเทียม และซิฟิลิสให้จำเลยทราบ ยังไม่ถึงขนาดที่จะอนุมานได้ว่าถ้าได้แจ้งเช่นนั้นจะทำให้จำเลยบอกปัดไม่รับประกันชีวิตหรือเรียกเบี้ยประกันภัยให้สูงขึ้นอันจะทำให้สัญญาประกันชีวิตที่ทำไว้เป็นโมฆียะตามบทมาตรานี้
สารสำคัญของ ป.พ.พ.มาตรา 865 อยู่ที่ว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยรู้อยู่แล้วละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจูงใจให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญา สัญญาประกันชีวิตจึงจะตกเป็นโมฆียะ การที่ผู้ตายมิได้แจ้งเรื่องเคยเข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลและคลินิกเกี่ยวกับกามโรคหนองในเทียม และซิฟิลิสให้จำเลยทราบ ยังไม่ถึงขนาดที่จะอนุมานได้ว่าถ้าได้แจ้งเช่นนั้นจะทำให้จำเลยบอกปัดไม่รับประกันชีวิตหรือเรียกเบี้ยประกันภัยให้สูงขึ้นอันจะทำให้สัญญาประกันชีวิตที่ทำไว้เป็นโมฆียะตามบทมาตรานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7159/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างผู้เสียหายกับผู้กระทำละเมิด ไม่กระทบความรับผิดของผู้รับประกันภัย
แม้โจทก์ผู้ได้รับความเสียหายจากการที่คนขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ชนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บและรถยนต์ของโจทก์เสียหายกับจำเลยที่ 1 จะได้ทำบันทึกข้อตกลงในเรื่องค่าสินไหมทดแทนต่อกันอันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้ความรับผิดของจำเลยที่ 1ผู้เอาประกันภัยที่มีต่อโจทก์เปลี่ยนแปลงไปเป็นความรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็หาทำให้ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ก่อนแล้วตามกรมธรรม์ประกันภัยต้องเปลี่ยนแปลงหรือต้องระงับไปด้วยไม่ จำเลยที่ 2 จึงยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7127/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและข้อเท็จจริงจากพยานนอกคำให้การ: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยหากได้มาโดยไม่ชอบ
แม้ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ถึงจะมิได้เป็นข้อยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ ก็ชอบที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ก็ตาม แต่ข้อกฎหมายนั้นจะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจาก ข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานนอกคำให้การเป็นการได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ได้