คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ปรีชา เฉลิมวณิชย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,328 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 266/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้สั่งจ่ายเช็ค แม้มีการแก้ไขจำนวนเงินในเช็ค
จำเลยผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายย่อมต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คพิพาทแม้ผู้ที่แก้ไขรายการเช็คพิพาทช่องจำนวนเงินให้ตรงกับยอดจำนวนเงินที่ระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรไม่ใช่จำเลยก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดเพราะแม้ไม่มีการแก้ไขดังกล่าวจำเลยก็ต้องรับผิดตามจำนวนเงินที่ลงไว้เป็นลายลักษณ์อักษรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา12อยู่แล้วการแก้ไขนั้นจึงไม่ใช่การแก้ไขที่เป็นสาระสำคัญที่ทำให้เช็คพิพาทเสียไปตามมาตรา1007วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สำคัญผิดในคุณสมบัติทรัพย์ – สัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆียะ หากผู้ขายปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพทรัพย์
โจทก์ทำสัญญาจะขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพร้อมกับโทรศัพท์ให้แก่จำเลยทั้งสองเพื่อดำเนินกิจการโรงแรมแต่อาคารพิพาทจะใช้เป็นโรงแรมได้ต่อเมื่อโจทก์ได้แก้ไขตามเงื่อนไขของเจ้าพนักงานกรุงเทพมหานครโจทก์มิได้แก้ไขและล่วงเลยเวลาที่แก้ไขก่อนที่โจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาจะซื้อจะขายกัน3ปีแล้วโจทก์ปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรจะแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบและหากจำเลยทั้งสองได้ทราบแล้วคงจะไม่ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายด้วยกรณีถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาด้วยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ซึ่งนับว่าเป็นสาระสำคัญสัญญาจะซื้อจะขายจึงเป็นโมฆียะกรรมเมื่อจำเลยทั้งสองได้บอกล้างแล้วย่อมตกเป็นโมฆะคู่กรณีจึงกลับคืนสู่ฐานะเดิมจำเลยทั้งสองไม่มีความผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายและไม่จำต้องชำระหนี้ตามเช็คพิพาทที่จำเลยทั้งสองสั่งจ่ายชำระราคาให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สำคัญผิดในคุณสมบัติทรัพย์ สัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆียะ หากปกปิดข้อเท็จจริง
โจทก์ทำสัญญาจะขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพร้อมกับโทรศัพท์ให้แก่จำเลยทั้งสองเพื่อดำเนินกิจการโรงแรม แต่อาคารพิพาทจะใช้เป็นโรงแรมได้ต่อเมื่อโจทก์ได้แก้ไขตามเงื่อนไขของเจ้าพนักงานกรุงเทพมหานคร โจทก์มิได้แก้ไขและล่วงเลยเวลาที่แก้ไขก่อนที่โจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาจะซื้อจะขายกัน 3 ปีแล้ว โจทก์ปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรจะแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ และหากจำเลยทั้งสองได้ทราบแล้วคงจะไม่ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายด้วย กรณีถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาด้วยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ซึ่งนับว่าเป็นสาระสำคัญสัญญาจะซื้อจะขายจึงเป็นโมฆียะกรรม เมื่อจำเลยทั้งสองได้บอกล้างแล้วย่อมตกเป็นโมฆะ คู่กรณีจึงกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยทั้งสองไม่มีความผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายและไม่จำต้องชำระหนี้ตามเช็คพิพาทที่จำเลยทั้งสองสั่งจ่ายชำระราคาให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาเรื่องการอ้างโมฆะนิติกรรม, ดอกเบี้ยในสัญญา, และผลผูกพันสัญญาแม้ปิดอากรแสตมป์ไม่ถูกต้อง
ปัญหาที่ว่า นิติกรรมเป็นโมฆะหรือไม่ จำเลยที่ 4 ได้ยกต่อสู้ไว้ในคำให้การ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยที่ 4 ก็ยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 4 ระบุว่า "จำเลยที่ 4 ยินยอมคืนเงินดาวน์ จำนวน 3,500,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2533 เป็นต้นไป ข้อความในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ถือได้ว่าเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง มีลักษณะเห็นการกำหนดเบี้ยปรับ เมื่อโจทก์เรียกมาสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจกำหนดให้ลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้
เมื่อจำเลยที่ 4 ให้การรับว่า จำเลยที่ 5 ตกลงทำบันทึกกับโจทก์จริง โจทก์จึงไม่ต้องอ้างบันทึกข้อตกลงเป็นพยานหลักฐานอีก เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 4 ยอมรับแล้ว ดังนั้น แม้บันทึกข้อตกลงจะปิดอากรแสตมป์ไม่ถูกต้อง ก็รับฟังได้ว่าบันทึกข้อตกลงผูกพันจำเลยที่ 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โมฆะภาพนิติกรรม, การบังคับตามสัญญา, การคิดดอกเบี้ย, และผลของการยอมรับสัญญา
ปัญหาที่ว่านิติกรรมเป็นโมฆะหรือไม่จำเลยที่4ได้ยกต่อสู้ไว้ในคำให้การแม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัยจำเลยที่4ก็ยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคสองเพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยที่4ระบุว่า"จำเลยที่4ยินยอมคืนเงินดาวน์จำนวน3,500,000บาทให้แก่โจทก์พร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15ต่อปีนับแต่วันที่9พฤศจิกายน2533เป็นต้นไปข้อความในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยถือได้ว่าเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเห็นการกำหนดเบี้ยปรับเมื่อโจทก์เรียกมาสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจกำหนดให้ลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ เมื่อจำเลยที่4ให้การรับว่าจำเลยที่5ตกลงทำบันทึกกับโจทก์จริงโจทก์จึงไม่ต้องอ้างบันทึกข้อตกลงเป็นพยานหลักฐานอีกเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่4ยอมรับแล้วดังนั้นแม้บันทึกข้อตกลงจะปิดอากรแสตมป์ไม่ถูกต้องก็รับฟังได้ว่าบันทึกข้อตกลงผูกพันจำเลยที่4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 179-180/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนหุ้นไม่ชอบตามข้อบังคับบริษัท ทำให้ผู้รับโอนไม่มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ขณะที่มีการโอนหุ้นจำเลยที่ 1 มีกรรมการ 5 คน และตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1ระบุว่า การประชุมกรรมการจะต้องมีคณะกรรมการเข้าประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งจึงจะเป็นองค์ประชุมปรึกษากิจการได้ ดังนั้น การที่กรรมการของจำเลยที่ 1 เพียง 2 คน ลงชื่ออนุมัติในการโอนหุ้นย่อมถือไม่ได้ว่าคณะกรรมการของจำเลยที่ 1 เห็นชอบในการโอนหุ้นเมื่อการที่จำเลยที่ 2 โอนหุ้นให้แก่จำเลยที่ 3 เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลยที่ 1 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3ได้เข้าร่วมประชุมและออกเสียงในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการไม่ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลยที่ 1 และย่อมส่งผลให้การประชุมและมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ในครั้งดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ไปด้วยชอบที่จะให้เพิกถอนมติที่ประชุมของจำเลยที่ 1 นั้นเสีย
ข้อฎีกาที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 146/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดเครื่องหมายการค้า: การพิจารณาความคล้ายคลึงของเครื่องหมายการค้าและโอกาสที่จะทำให้สาธารณชนสับสน
เครื่องหมายการค้าของโจทก์และจำเลยเป็นเครื่องหมายการค้าประเภทคำในภาษาต่างประเทศใช้อักษรโรมันมี2พยางค์เท่ากันโดยเฉพาะพยางค์ต้นของโจทก์ใช้คำว่าPLAYแต่ของจำเลยดัดแปลงตัวอักษรAให้ต่างกันเล็กน้อยเป็นplayซึ่งทั้งสองคำก็อ่านออกเสียงเหมือนกันว่า เพลย์ ส่วนพยางค์หลังของโจทก์คำหนึ่งอ่านว่าBOYและอีกคำหนึ่งอ่านว่าMATEแต่ของจำเลยได้ดัดแปลงให้ออกเสียงแตกต่างไปจากคำว่าMATEเล็กน้อยโดยเปลี่ยนใหม่ว่าmanเมื่ออ่านออกเสียงคำว่าplayman (เพลย์แมน) ของจำเลยจึงมีสำเนียงเรียกขานเกือบเหมือนหรือใกล้เคียงกับคำว่าPLAYMATE(เพลย์เมท) ของโจทก์ลักษณะตัวอักษรและจำนวนตัวอักษรก็ไล่เลี่ยกันของโจทก์ใช้อักษร7ตัวและ8ตัวของจำเลยใช้อักษร7ตัวอักษรส่วนใหญ่เป็นตัวพิมพ์เหมือนกันเครื่องหมายการค้าคำว่าplaymanที่จำเลยยื่นขอจดทะเบียนจึงมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ถึงขนาดนับได้ว่าทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดในสินค้าได้เป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์โจทก์จึงมีสิทธิขอให้ห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าคำดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 146/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดเครื่องหมายการค้า: ความเหมือน/คล้ายคลึงจนสับสน
เครื่องหมายการค้าของโจทก์และจำเลยเป็นเครื่องหมายการค้าประเภทคำในภาษาต่างประเทศ ใช้อักษรโรมัน มี 2 พยางค์เท่ากัน โดยเฉพาะพยางค์ต้นของโจทก์ใช้คำว่า PLAY แต่ของจำเลยดัดแปลงตัวอักษร A ให้ต่างกันเล็กน้อยเป็น play ซึ่งทั้งสองคำก็อ่านออกเสียงเหมือนกันว่าเพลย์ ส่วนพยางค์หลังของโจทก์คำหนึ่งอ่านว่า BOY และอีกคำหนึ่งอ่านว่า MATE แต่ของจำเลยได้ดัดแปลงให้ออกเสียงแตกต่างไปจากคำว่า MATE เล็กน้อยโดยเปลี่ยนใหม่ว่า man เมื่ออ่านออกเสียงคำว่า playman (เพลย์แมน) ของจำเลย จึงมีสำเนียงเรียกขานเกือบเหมือนหรือใกล้เคียงกับคำว่า PLAYMATE (เพลย์เมท) ของโจทก์ ลักษณะตัวอักษรและจำนวนตัวอักษรก็ไล่เลี่ยกัน ของโจทก์ใช้อักษร 7 ตัว และ 8 ตัว ของจำเลยใช้อักษร 7 ตัว อักษรส่วนใหญ่เป็นตัวพิมพ์เหมือนกัน เครื่องหมายการค้าคำว่าplayman ที่จำเลยยื่นขอจดทะเบียนจึงมีลักษณเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ถึงขนาดนับได้ว่าทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดในสินค้าได้ เป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้ห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าคำดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 143/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษจำคุกและปรับจากความผิดฐานแปรรูปไม้โดยมีเหตุบรรเทาโทษและรอการลงโทษ
กฎหมายกำหนดอัตราโทษขั้นต่ำสำหรับความผิดที่จำเลยกระทำแต่ละกระทงไว้ให้จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีและปรับตั้งแต่ห้าพันบาทจึงลงโทษน้อยกว่านี้ไม่ได้ จำเลยมีบุตรที่ต้องอุปการะเลี้ยงดู2คนไม้ของกลางซึ่งจำเลยอ้างว่าอยู่ในที่ดินของบิดาจำเลยมีจำนวนเล็กน้อยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนสมควรรอการลงโทษจำคุกแต่เพื่อให้หลาบจำสมควรวางโทษปรับจำเลยด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นในระหว่างพิจารณาคดีทำให้หมดสิทธิอุทธรณ์ แม้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลยเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หลังจากมีคำสั่ง 3 เดือนเศษ ศาลชั้นต้นจึงมีคำพิพากษา จำเลยมีโอกาสและสามารถยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้แย้งได้ แต่จำเลยมิได้โต้แย้ง จึงหมดสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว ปัญหานี้แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ได้รับวินิจฉัยไว้ก็ตาม ก็ยังคงเป็นปัญหาที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
of 133