พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,328 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นในระหว่างพิจารณาคดีทำให้หมดสิทธิอุทธรณ์ แม้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลยเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หลังจากมีคำสั่ง 3 เดือนเศษ ศาลชั้นต้นจึงมีคำพิพากษา จำเลยมีโอกาสและสามารถยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้แย้งได้ แต่จำเลยมิได้โต้แย้ง จึงหมดสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว ปัญหานี้แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ได้รับวินิจฉัยไว้ก็ตาม ก็ยังคงเป็นปัญหาที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 41-42/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ตามเช็ค แม้จะอ้างว่าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน
จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คทั้ง10ฉบับเพื่อชำระหนี้เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คจำเลยจึงตกเป็นฝ่ายผิดนัดต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ทรงพร้อมดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา900วรรคหนึ่ง,904,914ประกอบมาตรา989,มาตรา224วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งบรรจุยาเสพติดเพื่อใช้เอง ไม่ถือเป็นความผิดฐานผลิต หากไม่มีเจตนาจำหน่าย
แม้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522มาตรา4จะบัญญัติว่าการผลิตให้หมายความรวมถึงการแบ่งบรรจุหรือการรวมบรรจุด้วยก็ตามแต่โทษฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท1นั้นมาตรา65วรรคหนึ่งกำหนดให้ระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตเท่ากับโทษฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท1มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัมตามมาตรา66วรรคหนึ่งกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงจำคุกตลอดชีวิตและปรับจึงย่อมเห็นได้ว่ากฎหมายกำหนดโทษความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามความร้ายแรงของอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่สังคมจากการกระทำความผิดโดยการผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท1ไม่ว่าด้วยการเพาะปลูกทำผสมปรุงแปรสภาพเปลี่ยนรูปหรือสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์เป็นการกระทำที่จะเกิดอันตรายแก่สังคมอย่างร้ายแรงเพราะเป็นการเพิ่มความรุนแรงของยาเสพติดให้โทษหรือเป็นการทำให้ยาเสพติดให้โทษนั้นแพร่หลายง่ายขึ้นกฎหมายจึงต้องกำหนดโทษสูงเมื่อความมุ่งหมายของกฎหมายเป็นเช่นนี้คำว่า"การแบ่งบรรจุหรือการรวมบรรจุ"ในมาตรา4จึงต้องหมายถึงการแบ่งบรรจุหรือการรวมบรรจุที่เป็นอันตรายแก่สังคมอย่างร้ายแรงทำนองเดียวกับการเพาะปลูกทำผสมปรุงแปรสภาพเปลี่ยนรูปหรือสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์เช่นการแบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุเพื่อจำหน่ายแก่บุคคลโดยทั่วไปเป็นต้นสำหรับคดีนี้แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลก็ยังต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา176เมื่อข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์ในคดีนี้ไม่ได้ความว่าจำเลยแบ่งบรรจุเฮโรอีนของกลางเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกแก่บุคคลทั่วไปนอกจากนั้นยังปรากฏว่าจำเลยต่างติดยาเสพติดให้โทษจึงอาจเป็นดังที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยแบ่งบรรจุเฮโรอีนเพื่อความสะดวกในการใช้ของตนเองการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท1จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท1เท่านั้นซึ่งการกระทำความผิดฐานนี้เป็นการกระทำอย่างหนึ่งในความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท1ที่โจทก์ฟ้องนั่นเองศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งบรรจุยาเสพติดเพื่อใช้เอง ไม่ถือเป็นความผิดฐานผลิต หากไม่มีเจตนาจำหน่าย
แม้ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 จะบัญญัติว่า การผลิตให้หมายความรวมถึงการแบ่งบรรจุหรือการรวมบรรจุด้วยก็ตาม แต่โทษฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 นั้น มาตรา 65 วรรคหนึ่ง กำหนดให้ระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตเท่ากับโทษฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัมตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง กำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงจำคุกตลอดชีวิตและปรับ จึงย่อมเห็นได้ว่ากฎหมายกำหนดโทษความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามความร้ายแรงของอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่สังคมจากการกระทำความผิดโดยการผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไม่ว่าด้วยการเพาะ ปลูก ทำ ผสม ปรุง แปรสภาพ เปลี่ยนรูป หรือสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ เป็นการกระทำที่จะเกิดอันตรายแก่สังคมอย่างร้ายแรง เพราะเป็นการเพิ่มความรุนแรงของยาเสพติดให้โทษหรือเป็นการทำให้ยาเสพติดให้โทษนั้นแพร่หลายง่ายขึ้น กฎหมายจึงต้องกำหนดโทษสูง เมื่อความมุ่งหมายของกฎหมายเป็นเช่นนี้ คำว่า "การแบ่งบรรจุหรือการรวมบรรจุ" ในมาตรา 4 จึงต้องหมายถึงการแบ่งบรรจุหรือการรวมบรรจุที่เป็นอันตรายแก่สังคมอย่างร้ายแรงทำนองเดียวกับการเพาะ ปลูก ทำ ผสม ปรุง แปรสภาพ เปลี่ยนรูป หรือสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น การแบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุเพื่อจำหน่ายแก่บุคคลโดยทั่วไปเป็นต้น สำหรับคดีนี้ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลก็ยังต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 เมื่อข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์ในคดีนี้ไม่ได้ความว่า จำเลยแบ่งบรรจุเฮโรอีนของกลางเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกแก่บุคคลทั่วไป นอกจากนั้นยังปรากฏว่าจำเลยต่างติดยาเสพติดให้โทษ จึงอาจเป็นดังที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยแบ่งบรรจุเฮโรอีนเพื่อความสะดวกในการใช้ของตนเอง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เท่านั้น ซึ่งการกระทำความผิดฐานนี้เป็นการกระทำอย่างหนึ่งในความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ที่โจทก์ฟ้องนั่นเอง ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งบรรจุยาเสพติดเพื่อใช้เอง ไม่ถือเป็นผลิตยาเสพติด หากไม่มีเจตนาจำหน่าย
การผลิตโดยการแบ่งบรรจุตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯมาตรา4ต้องเป็นการแบ่งบรรจุที่เป็นอันตรายแก่สังคมอย่างร้ายแรงทำนองเดียวกับการเพาะปลูกทำผสมปรุงแปรสภาพเปลี่ยนรูปหรือสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์เช่นการบรรจุเพื่อจำหน่ายแก่บุคคลโดยทั่วไปการที่จำเลยแบ่งบรรจุเพื่อความสะดวกในการใช้เสพของตนเองไม่เป็นการผลิตตามบทกฎหมายดังกล่าว โจทก์ฟ้องว่าจำเลย ผลิตยาเสพติด แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมียาเสพติดให้โทษไว้ในความครอบครองศาลย่อมลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคท้ายเพราะความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในความครอบครองเป็นการกระทำอย่างหนึ่งในความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9355/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำพิพากษาคดีถึงที่สุด และการรับฟังสำนวนคดีเก่าเป็นพยานหลักฐาน
คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้ว่า ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 4015เป็นของโจทก์ จำเลยที่ 2 ขายให้โจทก์แล้วผิดสัญญาไม่โอนให้โจทก์ แต่ได้โอนให้จำเลยที่ 1 โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองให้โอนที่ดินดังกล่าว ซึ่งศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี และคดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาท จึงฟ้องคดีนี้ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสอง คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 104 ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ดังนั้น เมื่อศาลได้สอบถามและคู่ความได้แถลงยอมรับว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่786/2530 ของศาลชั้นต้น และคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ และมีอำนาจรับฟังสำนวนคดีดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้แม้โจทก์จะไม่ได้ยื่นต่อศาลและให้คู่ความตรวจพิจารณาก่อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90ก็ตาม
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 104 ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ดังนั้น เมื่อศาลได้สอบถามและคู่ความได้แถลงยอมรับว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่786/2530 ของศาลชั้นต้น และคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ และมีอำนาจรับฟังสำนวนคดีดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้แม้โจทก์จะไม่ได้ยื่นต่อศาลและให้คู่ความตรวจพิจารณาก่อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9355/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่หลังคดีแพ่งถึงที่สุด ศาลรับฟังสำนวนคดีเดิมเป็นพยานได้ แม้ไม่ได้ยื่นต่อศาล
คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้ว่าที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่4015เป็นของโจทก์จำเลยที่2ขายให้โจทก์แล้วผิดสัญญาไม่โอนให้โจทก์แต่ได้โอนให้จำเลยที่1โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองให้โอนที่ดินดังกล่าวซึ่งศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีและคดีถึงที่สุดแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาทจึงฟ้องคดีนี้ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา104ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้นดังนั้นเมื่อศาลได้สอบถามและคู่ความได้แถลงยอมรับว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่786/2530ของศาลชั้นต้นและคดีถึงที่สุดแล้วศาลย่อมมีอำนาจสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองได้และมีอำนาจรับฟังสำนวนคดีดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้แม้โจทก์จะไม่ได้ยื่นต่อศาลและให้คู่ความตรวจพิจารณาก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา90ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9347/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่: ความเพียงพอของคำฟ้องในคดีรถชน โดยไม่จำต้องระบุรายละเอียดความสัมพันธ์และพฤติกรรมการขับขี่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ฉ-6649 กรุงเทพมหานคร ไว้จากห้างหุ้นส่วนจำกัดส.พ. ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยได้รับความยินยอมจากห้างหุ้นส่วนจำกัดส. ไปตามถนนในช่องเดินรถช่องขวาสุดจากจังหวัดกาญจนบุรี มุ่งหน้าไปกรุงเทพมหานคร เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุบริเวณหน้าโรงงานน้ำตาล จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียนน-8185 กาญจนบุรี แล่นออกจากโรงงานน้ำตาลด้วยความประมาทเลินเล่อโดยจะต้องหยุดรถให้รถยนต์ของ พ.แล่นผ่านไปก่อน แต่จำเลยที่ 1 หาได้ปฏิบัติไม่ จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์เข้าสู่ถนนโดยกะทันหันตัดหน้ารถยนต์ที่ พ. ขับ เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันจึงได้รับความเสียหาย โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชำระค่าเสียหายแล้วจึงสวมสิทธิที่จะเรียกร้องเอาแก่จำเลยได้ เช่นนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเพียงพอที่จะทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจได้ดีแล้ว เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า พ. ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยโดยได้รับความยินยอมของห้างหุ้นส่วนจำกัดส.ผู้เอาประกันภัยแล้ว โจทก์ก็หาจำต้องบรรยายฟ้องว่าพ.มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับห้างหุ้นส่วนจำกัดส.ผู้เอาประกันภัยไม่ เพราะไม่ว่า พ. จะมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยหรือไม่ ก็มิใช่ข้อที่จำเลยที่ 1จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ ทั้งโจทก์ได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ขับรถออกจากโรงงานโดยไม่ระมัดระวังไม่หยุดรถก่อนจะออกสู่ถนนและตัดหน้ารถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันเช่นนี้ โจทก์จึงหาจำต้องบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วเท่าใดไม่ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9347/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเพียงพอของฟ้องคดีประกันภัยรถยนต์: โจทก์ไม่ต้องบรรยายรายละเอียดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับขี่กับผู้เอาประกันภัย หรือความเร็วของจำเลย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6 ฉ - 6649 กรุงเทพมหานคร ไว้จากห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. พ.ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยได้รับความยินยอมจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ไปตามถนนในช่องเดินรถช่องขวาสุดจากจังหวัดกาญจนบุรี มุ่งหน้าไปกรุงเทพมหานคร เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุบริเวณหน้าโรงงานน้ำตาล จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน น - 8185กาญจนบุรี แล่นออกจากโรงงานน้ำตาลด้วยความประมาทเลินเล่อโดยจะต้องหยุดรถให้รถยนต์ของ พ.แล่นผ่านไปก่อน แต่จำเลยที่ 1 หาได้ปฏิบัติไม่ จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์เข้าสู่ถนนโดยกะทันหันตัดหน้ารถยนต์ที่ พ.ขับ เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันจึงได้รับความเสียหาย โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชำระค่าเสียหายแล้วจึงสวมสิทธิที่จะเรียกร้องเอาแก่จำเลยได้ เช่นนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเพียงพอที่จะทำให้จำเลยที่ 1เข้าใจได้ดีแล้ว เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า พ. ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยโดยได้รับความยินยอมของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ผู้เอาประกันภัยแล้ว โจทก์ก็หาจำต้องบรรยายฟ้องว่า พ. มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ผู้เอาประกันภัยไม่ เพราะไม่ว่า พ. จะมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยหรือไม่ ก็มิใช่ข้อที่จำเลยที่ 1 จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ ทั้งโจทก์ได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ขับรถออกจากโรงงานโดยไม่ระมัดระวังไม่หยุดรถก่อนจะออกสู่ถนนและตัดหน้ารถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันเช่นนี้ โจทก์จึงหาจำต้องบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วเท่าใดไม่ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9245/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณทุนทรัพย์พิพาทในคดีประกันภัย และข้อจำกัดการฎีกาเมื่อทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท
โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันรับประกันภัยทรัพย์พิพาทในวงเงินไม่เกิน 360,000 บาท ทั้งนี้โดยโจทก์ที่ 1 และที่ 2 จะต้องรับผิดชดใช้ในวงเงินร้อยละ 60 และ 40 ของค่าเสียหายทั้งหมดตามลำดับ เมื่อเกิดวินาศภัยขึ้นตามสัญญาและโจทก์ทั้งสองได้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายตามวินาศภัยจริงให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามส่วนที่รับประกันภัยไว้แล้ว จึงรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยมาร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ซึ่งเป็นนายจ้างหรือตัวการของผู้ทำละเมิดให้ร่วมรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ทั้งสอง ดังนี้ การคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกต่างหากจากกัน คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิใช่นายจ้างหรือตัวการของคนขับรถบรรทุกผู้ทำละเมิด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ดังนี้ การที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์ทั้งสองจะไม่มีพยานยืนยันว่าคนขับรถบรรทุกดังกล่าวเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยก็ตามแต่คำพยานจำเลยก็ไม่มีน้ำหนักรับฟังนั้น เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์ทั้งสองแต่ละคนไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง