พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,328 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6628/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้รับจ้างดูแลรักษารถยนต์ที่สูญหายจากการประมาทของลูกจ้าง และข้อยกเว้นการสละสิทธิไล่เบี้ยในกรมธรรม์ประกันภัย
จำเลยรับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้จากผู้เอาประกันภัยเพื่อรับจ้างติดตั้งหลังคาไฟเบอร์กล๊าสจำเลยจึงมีหน้าที่ต้องดูแลรักษารถยนต์มิให้สูญหายเพื่อจะได้คืนรถยนต์ให้ผู้ว่าจ้างเมื่อรถยนต์สูญหายไปในระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยเนื่องจากลูกจ้างของจำเลยประมาทเลินเล่อจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว โจทก์ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิจากส.ผู้เอาประกันภัยฟ้องจำเลยผู้กระทำละเมิดทำให้รถยนต์ที่ส.เอาประกันภัยไว้กับโจทก์สูญหายไปเมื่อส.มีสิทธิฟ้องจำเลยโดยมิต้องทวงถามก่อนโจทก์ผู้รับช่วงสิทธิจากส.จึงฟ้องจำเลยได้โดยไม่ต้องทวงถามจำเลยก่อน จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดตามเงื่อนไขท้ายกรมธรรม์ประกันภัยแต่ศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัยเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(1)ประกอบมาตรา247แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเองโดยไม่ย้อนสำนวน ข้อตกลงตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ว่าในกรณีที่มีความเสียหายหรือสูญหายเกิดขึ้นต่อรถยนต์เมื่อบุคคลอื่นเป็นผู้ใช้รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยบริษัทสละสิทธิในการไล่เบี้ยจากผู้ใช้รถยนต์นั้นหมายถึงบุคคลผู้ใช้รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยให้นำรถยนต์ไปใช้อย่างยานพาหนะแต่จำเลยครอบครองรถยนต์เนื่องจากรับจ้างส.ผู้เอาประกันภัยติดตั้งหลังคาไฟเบอร์กล๊าสจึงไม่ใช่ผู้นำรถยนต์ไปใช้อย่างยานพาหนะกรณีไม่ต้องตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อดังกล่าวที่ถือว่าโจทก์สละสิทธิไล่เบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6626/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ขนส่งทอดสุดท้ายต้องมีส่วนร่วมในขั้นตอนสำคัญของการขนส่ง หากไม่มีส่วนร่วม ไม่ต้องรับผิดชอบความเสียหาย
จำเลยมิได้เป็นผู้แจ้งการมาถึงของเรือและสินค้าพิพาทแก่ผู้รับตราส่งและมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการขนส่งสินค้าขึ้นจากเรือการรับใบตราส่งและออกใบสั่งปล่อยสินค้าอันเป็นขั้นตอนสำคัญในการขนส่งก็ทำให้ฐานะเป็นตัวแทนของเรือจำเลยจึงมิใช่ผู้ขนส่งทอดสุดท้ายไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา618
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6626/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ขนส่งทอดสุดท้าย: การพิสูจน์ฐานะและการรับผิดชอบในความเสียหายของสินค้า
จำเลยมิได้เป็นผู้แจ้งการมาถึงของเรือและสินค้าพิพาทแก่ผู้รับตราส่ง และมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการขนส่งสินค้าขึ้นจากเรือการรับใบตราส่งและออกใบสั่งปล่อยสินค้าอันเป็นขั้นตอนสำคัญในการขนส่ง ก็ทำให้ฐานะเป็นตัวแทนของเรือ จำเลยจึงมิใช่ผู้ขนส่งทอดสุดท้าย ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 618
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6626/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้ขนส่งทอดสุดท้าย: จำเลยไม่ใช่ผู้ร่วมขนส่งหากไม่ได้แจ้งการมาถึงเรือและดำเนินการขั้นตอนสำคัญ
จำเลยมิได้เป็นผู้แจ้งการมาถึงของเรือและสินค้าพิพาทแก่ผู้รับตราส่งและมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการขนส่งสินค้าขึ้นจากเรือการรับใบตราส่งและออกใบสั่งปล่อยสินค้าอันเป็นขั้นตอนสำคัญในการขนส่งก็ทำให้ฐานะเป็นตัวแทนของเรือจำเลยจึงมิใช่ผู้ขนส่งทอดสุดท้ายไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา618
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6608/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องรับผิดแม้ผู้เอาประกันภัยไม่แจ้งอุบัติเหตุ อายุความฟ้องร้องประกันภัย 2 ปี
จำเลยร่วมเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนจำเลยที่ 1 จำเลยร่วมย่อมต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งและซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 ทั้งนี้แม้ จำเลยที่ 1 ไม่ได้แจ้งอุบัติเหตุให้จำเลยร่วมทราบตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัยก็ตาม ก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 1 เท่านั้น โจทก์เป็นบุคคลภายนอกสัญญา จำเลยร่วมในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะนำเงื่อนไขดังกล่าวในกรมธรรม์ประกันภัยมาใช้บังคับโจทก์ด้วยไม่ได้
คดีนี้โจทก์ฟ้องตามสัญญาประกันภัยเพื่อเรียกให้จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันวินาศภัยตามป.พ.พ. มาตรา 882 วรรคหนึ่ง คดีนี้เกิดวินาศภัยในวันที่ 23 เมษายน 2534แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมวันที่ 27 กรกฎาคม2535 จึงยังไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันวินาศภัย คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คดีนี้โจทก์ฟ้องตามสัญญาประกันภัยเพื่อเรียกให้จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันวินาศภัยตามป.พ.พ. มาตรา 882 วรรคหนึ่ง คดีนี้เกิดวินาศภัยในวันที่ 23 เมษายน 2534แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมวันที่ 27 กรกฎาคม2535 จึงยังไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันวินาศภัย คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6608/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย แม้ผู้เอาประกันภัยไม่แจ้งอุบัติเหตุ และฟ้องร้องภายในอายุความ
จำเลยร่วมเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนจำเลยที่1จำเลยร่วมย่อมต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจำเลยที่1ผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งและซึ่งจำเลยที่1ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา887ทั้งนี้แม้จำเลยที่1ไม่ได้แจ้งอุบัติเหตุให้จำเลยร่วมทราบตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัยก็ตามก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยร่วมกับจำเลยที่1เท่านั้นโจทก์เป็นบุคคลภายนอกสัญญาจำเลยร่วมในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะนำเงื่อนไขดังกล่าวในกรมธรรม์ประกันภัยมาใช้บังคับโจทก์ด้วยไม่ได้ คดีนี้โจทก์ฟ้องตามสัญญาประกันภัยเพื่อเรียกให้จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงมีอายุความ2ปีนับแต่วันวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา882วรรคหนึ่งคดีนี้เกิดวินาศภัยในวันที่23เมษายน2534แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมวันที่27กรกฎาคม2535จึงยังไม่เกิน2ปีนับแต่วันวินาศภัยคดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6607/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องเคลือบคลุมในคดีประกันภัย: จำเป็นต้องระบุความสัมพันธ์ของผู้เอาประกันกับผู้ขับขี่
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยผู้รับประกันภัยค้ำจุนรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ แต่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อเป็นความวินาศภัยซึ่งผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบ เมื่อโจทก์กล่าวบรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันที่ อ.ขับประมาทชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โดยโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่า ผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยรับประภันภัยไว้คือใคร และ อ.ขับรถยนต์คันนั้นในฐานะอะไร หรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัย อันจะเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการทำละเมิดของ อ. จำเลยผู้รับประกันภัยค้ำจุนย่อมไม่มีโอกาสทราบได้เลยว่าผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดกับ อ.ด้วยข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างไร และย่อมไม่อาจให้การต่อสู้คดีของโจทก์ได้ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องเคลือบคลุม ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6607/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องเคลือบคลุมในคดีประกันภัยค้ำจุน ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดหากไม่ระบุความสัมพันธ์ของผู้เอาประกันภัยกับผู้ก่อเหตุ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยผู้รับประกันภัยค้ำจุนรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา887ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อเป็นความวินาศภัยซึ่งผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบเมื่อโจทก์กล่าวบรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันที่อ.ขับประมาทชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหายโดยโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่าผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยรับประกันภัยไว้คือใครและอ.ขับรถยนต์คันนั้นในฐานะอะไรหรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยอันจะเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการทำละเมิดของอ.จำเลยผู้รับประกันภัยค้ำจุนย่อมไม่มีโอกาสทราบได้เลยว่าผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดกับอ.ด้วยข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างไรและย่อมไม่อาจให้การต่อสู้คดีของโจทก์ได้คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6606/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกลับคืนสถานะนิติบุคคลหลังถูกขีดชื่อออกจากทะเบียน: ความเสียหายของเจ้าหนี้และเหตุความเป็นธรรม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1246(6)ศาลจะสั่งให้จดชื่อบริษัทกลับคืนเข้าสู่ทะเบียนก็ต่อเมื่อพิจารณาได้ความเป็นที่พอใจว่าในขณะที่ขีดชื่อบริษัทออกจากทะเบียนนั้นบริษัทยังทำการค้าขายหรือยังประกอบการงานอยู่หรือมิฉะนั้นเห็นว่าเป็นการยุติธรรมที่จะให้บริษัทได้กลับคืนขึ้นทะเบียนอีกเพราะฉะนั้นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งดังกล่าวจึงต้องอ้างเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งและต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นตามข้อกล่าวอ้างนั้นด้วย บริษัท ท. เป็นลูกหนี้ผู้ร้องอยู่การที่บริษัท ท. ถูกขีดชื่อเป็นบริษัทร้างผู้ร้องย่อมไม่อาจดำเนินคดีแก่บริษัทดังกล่าวได้ดังนี้ถือว่าผู้ร้องได้รับความเสียหายซึ่งไม่เป็นธรรมแก่ผู้ร้องแล้วผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลับจดชื่อบริษัท ท. ให้คืนสถานะเป็นนิติบุคคลได้ เมื่ออุทธรณ์อุทธรณ์ในเรื่องใดอีกฝ่ายไม่เห็นด้วยชอบที่จะยกปัญหานั้นตั้งประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์จึงจะถือว่าเป็นข้อที่ไม่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6606/2538 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนสถานะนิติบุคคลบริษัทร้างเพื่อคุ้มครองสิทธิลูกหนี้ที่ได้รับความเสียหาย
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1246 (6) ศาลจะสั่งให้จดชื่อบริษัทกลับคืนเข้าสู่ทะเบียนก็ต่อเมื่อพิจารณาได้ความเป็นที่พอใจว่า ในขณะที่ขีดชื่อบริษัทออกจากทะเบียนนั้น บริษัทยังทำการค้าขายหรือยังประกอบการงานอยู่ หรือมิฉะนั้นเห็นว่าเป็นการยุติธรรมที่จะให้บริษัทได้กลับคืนขึ้นทะเบียนอีก เพราะฉะนั้นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งดังกล่าวจึงต้องอ้างเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นตามข้อกล่าวอ้างนั้นด้วย คือ (1) ความจริงขณะที่ถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนบริษัทยังทำการค้าขายหรือยังประกอบการงานอยู่ หรือ (2) เพื่อความเป็นธรรมควรให้บริษัทกลับคืนขึ้นทะเบียนอีก
คำร้องขอของผู้ร้องได้กล่าวอ้างว่า ในขณะที่บริษัท ท. ถูกขีดชื่อเป็นบริษัทร้างนั้น บริษัทดังกล่าวเป็นลูกหนี้ของผู้ร้องอยู่ จึงเป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่สามารถดำเนินคดีแก่บริษัทดังกล่าวได้ อันเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายและผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องได้ออกหนังสือค้ำประกันบริษัทดังกล่าวต่อธนาคารที่ได้ทำสัญญาไว้กับกองทัพบก ต่อมาบริษัทดังกล่าวผิดสัญญาต่อกองทัพบกและไม่ยอมชำระหนี้ให้แก่ธนาคาร ผู้ร้องในฐานะผู้ค้ำประกันจึงได้ชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแทนบริษัทดังกล่าว แล้วจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากบริษัทดังกล่าว แต่บริษัทดังกล่าวถูกขีดชื่อเป็นบริษัทร้าง ผู้ร้องจึงไม่สามารถดำเนินคดีแก่บริษัทดังกล่าวได้ ดังนี้ คำร้องขอของผู้ร้องได้กล่าวอ้างและพิสูจน์ได้ว่า ผู้ร้องได้รับความเสียหายซึ่งไม่เป็นธรรมแก่ผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลับจดชื่อบริษัท ท. ให้คืนสถานะเป็นนิติบุคคลตาม ป.พ.พ. มาตรา1246 (6)
คำร้องขอของผู้ร้องได้กล่าวอ้างว่า ในขณะที่บริษัท ท. ถูกขีดชื่อเป็นบริษัทร้างนั้น บริษัทดังกล่าวเป็นลูกหนี้ของผู้ร้องอยู่ จึงเป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่สามารถดำเนินคดีแก่บริษัทดังกล่าวได้ อันเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายและผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องได้ออกหนังสือค้ำประกันบริษัทดังกล่าวต่อธนาคารที่ได้ทำสัญญาไว้กับกองทัพบก ต่อมาบริษัทดังกล่าวผิดสัญญาต่อกองทัพบกและไม่ยอมชำระหนี้ให้แก่ธนาคาร ผู้ร้องในฐานะผู้ค้ำประกันจึงได้ชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแทนบริษัทดังกล่าว แล้วจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากบริษัทดังกล่าว แต่บริษัทดังกล่าวถูกขีดชื่อเป็นบริษัทร้าง ผู้ร้องจึงไม่สามารถดำเนินคดีแก่บริษัทดังกล่าวได้ ดังนี้ คำร้องขอของผู้ร้องได้กล่าวอ้างและพิสูจน์ได้ว่า ผู้ร้องได้รับความเสียหายซึ่งไม่เป็นธรรมแก่ผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลับจดชื่อบริษัท ท. ให้คืนสถานะเป็นนิติบุคคลตาม ป.พ.พ. มาตรา1246 (6)