พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,328 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6526/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อห้ามการนำสืบพยานเพิ่มเติม
แม้โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องเกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท แต่ประเด็นข้อพิพาทในเรื่องขับไล่ได้ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงพิพาทกันในชั้นอุทธรณ์และฎีกาเฉพาะค่าเช่าเท่านั้น เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธินำสืบว่า โจทก์ไม่จัดการแก้ไขปรับปรุงเครื่องปรับอากาศภายในอาคารพิพาท และไม่ขับไล่แผงลอยหน้าอาคารตามข้อตกลงขณะทำสัญญาได้นั้น เมื่อข้อตกลงเรื่องจัดการซ่อมแซมเครื่องปรับอากาศและจัดการเรื่องแผงลอยไม่มีระบุในสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์การที่จำเลยที่ 1 นำสืบพยานบุคคลว่ามีข้อตกลงดังกล่าวจึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 94 (ข) เพราะเป็นการนำสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธินำสืบว่า โจทก์ไม่จัดการแก้ไขปรับปรุงเครื่องปรับอากาศภายในอาคารพิพาท และไม่ขับไล่แผงลอยหน้าอาคารตามข้อตกลงขณะทำสัญญาได้นั้น เมื่อข้อตกลงเรื่องจัดการซ่อมแซมเครื่องปรับอากาศและจัดการเรื่องแผงลอยไม่มีระบุในสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์การที่จำเลยที่ 1 นำสืบพยานบุคคลว่ามีข้อตกลงดังกล่าวจึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 94 (ข) เพราะเป็นการนำสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6483/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์พิพาทแยกกันในคดีที่โจทก์แต่ละคนฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายเฉพาะตน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 51,000 บาท และแก่โจทก์ที่ 3เป็นเงิน 47,483 บาท แม้จะพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1เป็นเงิน 203,500 บาท ก็ตาม ฎีกาของจำเลยทั้งสองในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2และที่ 3 ก็ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่งเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะตัวฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ของโจทก์แต่ละคนรวมกันมา ต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทของโจทก์แต่ละคนแยกกัน
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2538)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2538)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6483/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์ที่พิพาทแยกตามโจทก์แต่ละคน ทำให้ฎีกาบางส่วนต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่2เป็นเงิน51,000บาทและแก่โจทก์ที่3เป็นเงิน47,483บาทแม้จะพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่1เป็นเงิน203,500บาทก็ตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่2และที่3ก็ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะตัวฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ของโจทก์แต่ละคนรวมกันมาต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทของโจทก์แต่ละคนแยกกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6476/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ไม่เพิ่มโทษตามมาตรา 336 ทวิ และข้อจำกัดในการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา336ทวิเป็นบทบัญญัติถึงเหตุที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดตามมาตรา335ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆกึ่งหนึ่งหาใช่เป็นความผิดอีกบทหนึ่งต่างหากไม่ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้ใช้อัตราโทษตามที่มาตรา336ทวิกำหนดไว้แต่คงพิพากษาว่าจำเลยที่3มีความผิดตามมาตรา335(1)(3)(8)ตามที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นปรับและใช้อัตราโทษตามมาตรา335วรรคสามลงโทษจำเลยเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน5ปีจำเลยที่3จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6476/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อัตราโทษมาตรา 336 ทวิ เป็นการเพิ่มโทษ ไม่ใช่ความผิดใหม่ ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษแต่ไม่ใช้ตามมาตรานี้
ป.อ. มาตรา 336 ทวิ เป็นบทบัญญัติถึงเหตุที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดตามมาตรา 335 ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆกึ่งหนึ่ง หาใช่เป็นความผิดอีกบทหนึ่งต่างหากไม่ ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยมิได้ใช้อัตราโทษตามที่มาตรา 336 ทวิ กำหนดไว้ แต่คงพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามมาตรา 335 (1) (3) (8) ตามที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นปรับและใช้อัตราโทษตามมาตรา 335 วรรคสาม ลงโทษจำเลย เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยที่ 3 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6470/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิคัดค้านการจัดการมรดก: ผู้ไม่มีส่วนได้เสียย่อมไม่มีสิทธิคัดค้าน
ผู้คัดค้านไม่ได้อ้างว่าเป็นทายาทของ ส. ผู้ตาย ส่วนโฉนดที่ดินมรดก ผู้คัดค้านก็ยอมรับว่ามีชื่อ บ. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ไม่มีชื่อผู้คัดค้าน ตามคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านฟ้งได้ว่าผู้คัดค้านไม่มีส่วนได้เสียในมรดกของ ส. ผู้ตาย ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิร้องคัดค้าน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6468/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุมูลหนี้ เหตุผลในการชำระหนี้ และที่มาของเช็ค
คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงข้ออ้างแห่งข้อหาไว้ว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คตามภาพถ่ายท้ายฟ้อง สั่งธนาคารจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือในการชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์นำไปชำระหนี้แก่ผู้มีชื่อเมื่อเช็คถึงกำหนดผู้มีชื่อนำเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจากธนาคารแต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์จึงชำระเงินตามเช็คแก่ผู้มีชื่อแล้วเข้าถือเอาเช็คไว้ในครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามเช็ค พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ กับมีคำขอบังคับให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องก็คือจำเลยเป็นผู้สั่งเช็ค เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตรา 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงโดยฐานมีเช็คสั่งจ่ายเงินให้ผู้ถืออยู่ในครอบครอง ทั้งคำฟ้องมีคำขอบังคับไว้แล้วนับว่าโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยจะเข้าใจคำฟ้องได้แล้วว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 904 ฟ้องจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คให้รับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 ประกอบมาตรา 989และรับผิดค่าดอกเบี้ยตามมาตรา 224 คำฟ้องของโจทก์จึงครบถ้วนสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว แม้โจทก์จะมิได้บรรยายในคำฟ้องว่า โจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาด้วยมูลหนี้ใดและเหตุใดโจทก์จึงเข้าชำระหนี้และรับรองเอาเช็คนั้นมาทั้งคำฟ้องระบุแต่เพียงว่า รับเช็คมาจากผู้มีชื่อซึ่งจำเลยไม่อาจทราบได้ว่าผู้มีชื่อนั้นคือใคร ก็ไม่เป็นเหตุให้คำฟ้องของโจทก์ที่ชอบด้วยกฎหมายกลับกลายเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไปได้ เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่สภาพแห่งข้อหาหรือข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่โจทก์จำเป็นจะต้องแสดงไว้ในคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6468/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของคำฟ้องเช็ค: การแสดงสภาพแห่งข้อหาและผู้ทรงเช็คโดยชอบ
คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงข้ออ้างแห่งข้อหาไว้ว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คตามภาพถ่ายท้ายฟ้อง สั่งธนาคารจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือในการชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์นำไปชำระหนี้แก่ผู้มีชื่อ เมื่อเช็คถึงกำหนดผู้มีชื่อนำเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจากธนาคาร แต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์จึงชำระเงินตามเช็คแก่ผู้มีชื่อแล้วเข้าถือเอาเช็คไว้ในครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามเช็ค พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ กับมีคำขอบังคับให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องก็คือจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตรา 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงโดยฐานมีเช็คสั่งจ่ายเงินให้ผู้ถืออยู่ในครอบครอง ทั้งคำฟ้องมีคำขอบังคับไว้แล้ว นับว่าโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยจะเข้าใจคำฟ้องได้แล้วว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.มาตรา 904ฟ้องจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คให้รับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 914ประกอบมาตรา 989 และรับผิดค่าดอกเบี้ยตามมาตรา 224 คำฟ้องของโจทก์จึงครบถ้วนสมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว แม้โจทก์จะมิได้บรรยายในคำฟ้องว่า โจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาด้วยมูลหนี้ใดและเหตุใดโจทก์จึงเข้าชำระหนี้และรับเอาเช็คนั้นมาทั้งคำฟ้องระบุแต่เพียงว่า รับเช็คมาจากผู้มีชื่อซึ่งจำเลยไม่อาจทราบได้ว่าผู้มีชื่อนั้นคือใคร ก็ไม่เป็นเหตุให้คำฟ้องของโจทก์ที่ชอบด้วยกฎหมายกลับกลายเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไปได้ เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่สภาพแห่งข้อหาหรือข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่โจทก์จำเป็นจะต้องแสดงไว้ในคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6412-6413/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากทุนทรัพย์เกินกำหนด และการอุทธรณ์ที่ไม่ชอบตามกฎหมาย
จำเลยที่1และที่2ฎีกาทั้งสองสำนวนว่าเหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่2แต่เพียงฝ่ายเดียวและค่าเสียหายสูงเกินความจริงล้วนเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและในการกำหนดค่าเสียหายจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อสำนวนแรกมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง สำหรับสำนวนหลังแม้จำเลยที่1และที่2จะร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสามเป็นคดีเดียวกันให้ชำระหนี้รวมเป็นเงิน208,801.55บาทก็ตามแต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่เรียกร้องให้โจทก์ทั้งสามรับผิดต่อจำเลยที่1และที่2เป็นหนี้แบ่งแยกได้การคิดทุนทรัพย์ที่พิพาทในคดีจึงต้องคิดทุนทรัพย์ตามฟ้องของจำเลยที่1และที่2แยกต่างหากจากกันคดีศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของจำเลยที่1และที่2แม้ว่าคดีในส่วนของจำเลยที่2ซึ่งมีทุนทรัพย์165,801.55บาทจะไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงแต่เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยที่2ก็ไม่อาจฎีกาในข้อเท็จจริงได้เพราะทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง สำหรับคดีในส่วนของจำเลยที่1ซึ่งมีทุนทรัพย์เพียง43,000บาทเมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องคดีย่อมต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งการที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่1และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ย่อมเป็นการไม่ชอบเมื่อจำเลยที่1ฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อมาก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6405/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งทางทะเล กรณีสินค้าเสียหายจากพายุ และการชดใช้ค่าเสียหายโดยบริษัทประกันภัย
จำเลยเป็นผู้ขนส่งสินค้าอ้างว่าสินค้าได้รับความเสียหายเพราะเหตุสุดวิสัย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด จำเลยมีหน้าที่นำสืบว่าสินค้าดังกล่าวได้รับความเสียหายเพราะเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ในการขนส่งสินค้าทางทะเล ข้อที่จำเลยนำสืบคงได้ความเพียงว่า ในระหว่างการขนสินค้าได้เกิดพายุขึ้นและมีคลื่นใหญ่เท่านั้น จำเลยมิได้นำสืบว่ากรณีดังกล่าวมีความร้ายแรงผิดปกติจนไม่อาจคาดหมายได้หรือมิอาจป้องกันมิให้สินค้าเสียหายไว้ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าคลื่นลมและสภาวะอากาศดังกล่าวเป็นเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8 ผู้ร้องสอดใช้สิทธิร้องสอดเข้าแทนที่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) จึงมีฐานะเสมอด้วยโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความที่ผู้ร้องสอดเข้าแทนที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 58 วรรคสอง เมื่อจำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้ร้องสอด พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 ไม่มีผลย้อนหลังเมื่อปรากฏว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากเกิดเหตุคดีนี้จึงไม่มีผลบังคับแก่คดีนี้ ฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยไม่ใช่ผู้ขนส่งตามความหมายในพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงไม่จำต้องวินิจฉัย