คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิทูรย์ สุทธิประภา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 178 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1429/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน: การฟ้องคดีซ้ำในขณะที่คดีเดิมยังไม่ถึงที่สุด แม้ถอนฟ้องคดีเดิมแล้ว ก็ไม่ทำให้ฟ้องใหม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำสั่งศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องในคดีก่อนยังไม่ถึงที่สุดโดยจำเลยที่ 16 ถึงที่ 20 อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์ ต้องถือว่าคดีก่อนยังคงอยู่ในระหว่างการพิจารณา การที่โจทก์นำมูลหนี้รายเดียวกันมาฟ้องจำเลยที่ 8 ถึงที่ 20 เป็นคดีนี้อีกจึงเป็นการฟ้องซ้อนกับคดีก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและคดีก่อนถึงที่สุด ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์คดีนี้ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่ต้น กลายเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1318/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการงดการขายทอดตลาด: ศาลตัดสินชอบแล้ว แม้มีการยื่นคำขอพิจารณาใหม่
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ แต่ศาลชั้นต้นยกคำขอให้พิจารณาใหม่เสีย และมิได้แจ้งคำสั่งให้งดการบังคับคดีไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดี กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 292(1) ประกอบด้วยมาตรา 209 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะงดการขายทอดตลาดได้ การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่งดการขายทอดตลาดจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรอการลงโทษคดีพนัน: พิจารณาจากประวัติผู้ต้องหา, พฤติการณ์, จำนวนผู้ร่วม และช่วงเทศกาล
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันเบี้ยโบก มีผู้ร่วมเล่นจำนวนมากถึง 35 คน แต่ยึดเงินของกลางได้เพียง 300 บาท จำเลยที่ 1 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ไม่ปรากฏพฤติการณ์เปิดเป็นบ่อนการพนันประกอบกับเหตุเกิดในช่วงเทศกาล สงกรานต์ สมควรรอการลงโทษจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 2 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1183/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมและการใช้ดุลพินิจศาลในการรับฟังพยานหลักฐาน
โจทก์ทั้งสามยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกก่อนวันสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนไม่น้อยกว่า 3 วันแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคหนึ่ง ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะฟ้องคดีนี้ โจทก์ทั้งสามชอบที่จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมก่อนเสร็จการสืบพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ได้เสมอตามมาตรา 88 วรรคสอง ศาลชั้นต้นจะใช้ดุลพินิจไม่รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมซึ่งยื่นภายในกำหนดเวลาดังกล่าวไม่ได้ บทบัญญัติมาตรา 86 วรรคหนึ่ง ที่ให้ศาลปฏิเสธไม่ยอมรับพยานหลักฐานที่รับฟังไม่ได้หรือที่รับฟังได้แต่ได้ยื่นฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นคนละกรณีกับการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสาม ส่วนบทบัญญัติมาตรา 86 วรรคสองที่ให้ศาลมีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานที่ศาลเห็นว่าฟุ่มเฟือยเกินสมควรหรือประวิงให้ชักช้าหรือไม่เกี่ยวกับประเด็น เป็นขั้นตอนภายหลังที่คู่ความได้ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเช่นว่านั้นโดยชอบแล้ว จึงเป็นคนละกรณีกับการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสามอีกเช่นกัน และเมื่อศาลชั้นต้นยังไม่ได้สั่งรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสาม ก็ไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะก้าวล่วงไปวินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์ทั้งสามมีพฤติการณ์ประวิงคดีให้ชักช้าหรือไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ทั้งสามระบุพยานเพิ่มเติมและให้รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสาม กับให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ทั้งสามจนแล้วเสร็จต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตอนต้นยังไม่ถูกต้องเพราะเมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสามแล้ว ศาลชั้นต้นยังมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจสั่งงดการสืบพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามที่เห็นว่าเป็นพยานหลักฐานที่ฟุ่มเฟือยเกินสมควรหรือประวิงให้ชักช้าหรือไม่เกี่ยวกับประเด็นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง และถ้ามีการสืบพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามต่อไป ก็ต้องให้โอกาสจำเลยนำพยานหลักฐานเข้าสืบแก้ได้ด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาในคำพิพากษาฉบับแรกให้ยกคำพิพากษาและคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ทั้งสามระบุพยานเพิ่มเติมและให้รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสามแล้วคดีในส่วนที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาฉบับหลังก็ต้องมีการรับฟังพยานหลักฐานใหม่ตามที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยนำสืบเพิ่มเติมต่อไปด้วยเพราะคดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับหลังที่ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1152/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทะเลาะวิวาทและการใช้มีดทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ผู้กระทำไม่อาจอ้างป้องกันตัวได้
จำเลยกับผู้ตายทะเลาะและชกต่อยกัน เมื่อ ด. ห้ามจำเลยกับผู้ตายให้เลิกทะเลาะและชกต่อยกันแล้ว จำเลยออกไปเอามีดปลายแหลมที่บ้าน แล้วกลับไปร้องถามผู้ตายว่าทำไมทำกับจำเลยอย่างนี้อันเป็นการท้าทายผู้ตาย พฤติการณ์ของจำเลยเช่นนี้แสดงว่าจำเลยยังคงสมัครใจทะเลาะวิวาทกับผู้ตายอีก จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาการป้องกันตัวขึ้นอ้างได้ อาวุธมีดปลายแหลมที่จำเลยใช้แทงผู้ตายมีตัวมีดยาวถึง 7นิ้วฟุต ใบมีดกว้าง 1 นิ้วฟุต และแทงถูกบริเวณเหนือไหปลาร้าด้านซ้ายอันเป็นอวัยวะส่วนสำคัญผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเสียเลือดมากแม้จำเลยจะแทงผู้ตายเพียงครั้งเดียว จำเลยก็ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้ว่าอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1125/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการโอนหุ้น: แม้ไม่มีข้อความซื้อขาย ศาลต้องพิจารณาเจตนาของผู้โอนและผู้รับโอนเป็นสำคัญเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นการรับโอนไว้แทนหรือไม่
แม้ในเอกสารโอนหุ้นจะไม่มีข้อความว่า ผู้ร้องรับโอนหุ้นไว้แทนแต่ก็ไม่มีข้อความว่าการโอนหุ้นรายนี้เป็นการซื้อขายหุ้น จึงต้องพิเคราะห์ถึงเจตนาของผู้โอนและผู้รับโอนเป็นสำคัญ จะฟังว่าเมื่อไม่มีคำว่ารับโอนไว้แทนย่อมเป็นการซื้อขายหาได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องรับโอนหุ้นของบริษัทลูกหนี้ไว้แทนคณะกรรมการควบคุมบริษัทลูกหนี้ ผู้ร้องจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามหนังสือทวงหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจเจ้าพนักงานและการกระทำความผิดต่อเสรีภาพ – การใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อข่มขืนใจและยึดทรัพย์
การกระทำอันจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 148 นั้นในส่วนของการกระทำจะต้องเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ แต่ถ้าใช้นอกตำแหน่งก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายได้ทั่วราชอาณาจักร ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งแกล้งกล่าวหาผู้เสียหายว่ากระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ในขณะที่ผู้เสียหายกำลังเลื่อยไม้ที่ขึ้นอยู่ในที่ดินที่มี น.ส.3 ของตนเอง ซึ่งถือว่ามีสิทธิกระทำได้โดยชอบ ทั้งนี้เพื่อมิให้ผู้เสียหายขัดขวางในการที่จำเลยกับพวกจะยึดเอาเลื่อยยนต์ของผู้เสียหายไป เป็นการกระทำที่ข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมมอบทรัพย์สินให้แก่จำเลยกับพวก จึงเป็นความผิดตามป.อ. มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบกล่าวหาผู้อื่นเท็จ เพื่อยึดทรัพย์สิน ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148
การกระทำอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 นั้น ในส่วนของการกระทำจะต้องเป็นการใช้อำนาจ ในตำแหน่งโดยมิชอบ แต่ถ้าใช้นอกตำแหน่งก็ไม่เป็นความผิด ตามมาตรานี้ จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายได้ทั่วราชอาณาจักร ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งแกล้งกล่าวหาผู้เสียหายว่ากระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ในขณะที่ผู้เสียหายกำลังเลื่อยไม้ที่ขึ้นอยู่ในที่ดินที่มีน.ส.3 ของตนเอง ซึ่งถือว่ามีสิทธิกระทำได้โดยชอบทั้งนี้เพื่อมิให้ผู้เสียหายขัดขวางในการที่จำเลยกับพวกจะยึดเอาเลื่อยยนต์ของผู้เสียหายไป เป็นการกระทำที่ข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมมอบทรัพย์สินให้แก่จำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานใช้อำนาจหน้าที่กลั่นแกล้งกล่าวหาผู้อื่น เพื่อยึดทรัพย์สินโดยมิชอบ ถือเป็นความผิดข่มขืนใจตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายได้ทั่วราชอาณาจักร ใช้อำนาจในตำแหน่งแกล้งกล่าวหาผู้เสียหายว่ากระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ โดยผู้เสียหายมิได้กระทำผิด จำเลยกล่าวหาเช่นนั้นเพื่อมิให้ผู้เสียหายขัดขวางในการที่จำเลยกับพวกยึดเอาเลื่อยยนต์ของผู้เสียหายไป การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมมอบทรัพย์สินของผู้เสียหายให้แก่จำเลยกับพวกนั่นเอง จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1081/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับสัญญาซื้อขายสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383
ข้อเท็จจริงที่ว่าการผิดนัดของโจทก์ทำให้จำเลยเสียหายไม่ได้ใช้ทรัพย์ที่ซื้อจากโจทก์ออกใช้ประโยชน์ ซึ่งหากคิดรายได้เพียงวันละ 9 ชั่วโมง จำเลยจะมีรายได้วันละ 30,937.50 บาท มากกว่าค่าปรับที่จำเลยคิดจากโจทก์ตามสัญญา จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเนื่องจากไม่ได้สืบพยานโจทก์และจำเลยในศาลชั้นต้น โจทก์จึงไม่มีโอกาสถามค้านได้ ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น ค่าปรับตามสัญญาซื้อขายเป็นเบี้ยปรับอย่างหนึ่ง ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ถ้าหากสูงเกินส่วน เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383
of 18