คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดำรุพงศ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 636 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2325/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมที่ดินจัดสรร: สิทธิใช้ทางสัญจร vs. การบำรุงรักษา และการโต้แย้งสิทธิเจ้าของกรรมสิทธิ์
การที่โจทก์แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1831 ออกเป็นแปลงย่อยปลูกสร้างตึกแถวขายถึง 50 แปลง อีกทั้งยังจัดให้มีการทำถนนออกสู่ทางสาธารณะโดยจัดสร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างตึกแถวขายเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อตึกแถวเป็นการจัดจำหน่ายที่ดินติดต่อกันเป็นแปลงย่อยมีจำนวนตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ที่ดินที่โจทก์เว้นไว้เป็นถนนจึงเป็นสาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีขึ้น ต้องตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรตามนัยแห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 30วรรคแรก และข้อ 32 ดังนั้น ถนนหน้าตึกแถวของจำเลยและผู้ที่ซื้อตึกแถวรายอื่น ๆย่อมตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินจัดสรรเพื่อประโยชน์แก่ผู้ซื้อตึกแถวทุกห้อง
จำเลยคงมีสิทธิใช้ถนนพิพาทเป็นทางสัญจรผ่านเข้าออกได้เท่านั้นส่วนโจทก์ในฐานะเป็นผู้จัดสรรมีหน้าที่บำรุงรักษากิจการอันเป็นสาธารณูปโภคนั้นให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นโดยตลอดไป เมื่อจำเลยก่อสร้างกันสาดและวางของขายบนถนนย่อมทำให้ถนนอันเป็นสาธารณูปโภคนั้นเสื่อมสภาพ เสื่อมประโยชน์การใช้ทางสัญจร ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดสรรและเจ้าของกรรมสิทธิ์ในถนนพิพาทนั้นด้วย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2325/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมในที่ดินจัดสรร: สิทธิการใช้ทางสัญจร, การบำรุงรักษา, และการโต้แย้งสิทธิโดยการรุกล้ำ
การที่โจทก์แบ่งแยกที่ดินออกเป็นแปลงย่อยปลูกสร้างตึกแถวเพื่อขายและจัดทำถนนออกสู่ทางสาธารณะเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อตึกแถวถนนดังกล่าวจึงเป็นสาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรได้จัดให้มีขึ้นตกอยู่ใน ภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ ที่ดินที่ จัดสรรจำเลยมีสิทธิใช้ถนนพิพาทเป็นทางสัญจรผ่านเข้าออกได้เท่านั้นและโจทก์เป็น ผู้จัดสรรที่ดิน มีหน้าที่บำรุงรักษากิจการอันเป็นสาธารณูปโภคให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นโดยตลอดไปตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่286ข้อ30วรรคแรกและข้อ32จำเลยทำให้ถนนเสื่อมสภาพและเสื่อมประโยชน์การใช้เป็นทางสัญจรเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55 การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินเนื้อที่8ตารางวาที่จำเลยรุกล้ำตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินจัดสรรเพื่อประโยชน์แก่ผู้ซื้อตึกแถวจำเลยไม่มีสิทธิยึดถือครอบครองทำให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดลงด้วยการสร้างกันสาดและวางสิ่งของขายเท่ากับว่าจำเลยไม่อาจครอบครองอย่างเป็นเจ้าของแม้จำเลยจะได้สิทธิครอบครองใช้ที่ดินพิพาทเป็นเวลาเกินกว่า10ปีก็ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นจึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา238ประกอบมาตรา249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีสัญญาเช่าซื้อ: การมอบอำนาจไม่ถูกต้องทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
หนังสือมอบอำนาจซึ่งทำขึ้นเมื่อวันที่19มิถุนายน2532ระบุว่ากรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์คือบ.และช.แต่หนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครซึ่งออกให้เมื่อวันที่9กุมภาพันธ์2536ไม่ปรากฏชื่อของบ. และช. ว่าเป็นผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ส่วนหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครที่ออกให้เมื่อวันที่19สิงหาคม2535แม้มีชื่อช. และบ. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนโจทก์แต่ก็ระบุไว้ว่าเป็นกรรมการผู้ลงลายมือชื่อแทนโจทก์ระหว่างวันที่30กรกฎาคม2533ถึงวันที่4กรกฎาคม2534เท่านั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าช. และบ. มอบอำนาจให้ส. และท.มีอำนาจกระทำการลงลายมือชื่อแทนโจทก์ในขณะจำเลยที่1และที่2ทำสัญญากับโจทก์ส. และท. จึงมิใช่ผู้มีอำนาจกระทำการลงลายมือชื่อแทนโจทก์ในขณะที่โจทก์และจำเลยที่1และที่2ทำสัญญากันการที่ช. และบ. กระทำการลงลายมือชื่อแทนโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจที่มอบอำนาจให้ส. และท. เป็นผู้มีอำนาจลงนามเป็นคู่สัญญาแทนโจทก์ในสัญญาเช่าซื้อจึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจตามกฎหมายเป็นผลให้ส. และท.ผู้รับมอบอำนาจไม่มีอำนาจลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจทำสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญาดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจลงนามในสัญญาเช่าซื้อ: หนังสือมอบอำนาจและหนังสือรับรองบริษัทที่ไม่สอดคล้องกันทำให้สัญญาเป็นโมฆะ
หนังสือมอบอำนาจซึ่งทำขึ้นเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2532 ระบุว่ากรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์คือ บ.และ ช. แต่หนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครซึ่งออกให้เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2536 ไม่ปรากฏชื่อของ บ.และ ช. ว่าเป็นผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ ส่วนหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครที่ออกให้เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม2535 แม้มีชื่อ ช.และ บ.เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนโจทก์ แต่ก็ระบุไว้ว่าเป็นกรรมการผู้ลงลายมือชื่อแทนโจทก์ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม 2533 ถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2534 เท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่า ช.และ บ.มอบอำนาจให้ ส.และ ท.มีอำนาจกระทำการลงลายมือชื่อแทนโจทก์ในขณะจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญากับโจทก์ ส.และ ท.จึงมิใช่ผู้มีอำนาจกระทำการลงลายมือชื่อแทนโจทก์ในขณะที่โจทก์และจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญากัน การที่ ช.และ บ.กระทำการลงลายมือชื่อแทนโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจที่มอบอำนาจให้ ส.และ ท.เป็นผู้มีอำนาจลงนามเป็นคู่สัญญาแทนโจทก์ในสัญญาเช่าซื้อ จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจตามกฎหมายเป็นผลให้ ส.และ ท.ผู้รับมอบอำนาจไม่มีอำนาจลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญาดังกล่าว 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2125/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้จัดการมรดกในการจัดการทรัพย์สินมรดก และการส่งมอบโฉนดที่ดินเพื่อจดทะเบียน
จำเลยและป. กับพวกอีก2คนต่างก็เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่2647เมื่อป.ถึงแก่ความตายโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของป.ย่อมมีสิทธิ์เข้าจัดการที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนที่เป็นมรดกของป.เพื่อนำมาแบ่งปันให้แก่ทายาทโจทก์จึงมีสิทธิขอจดทะเบียนลงชื่อผู้จัดการมรดกของป. ในโฉนดที่ดินเลขที่2647ซึ่งเป็นหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินได้ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา82และเนื่องจากบทกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้โจทก์ต้องนำโฉนดมาแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินด้วยเจ้าพนักงานที่ดินจึงจะดำเนินการจดทะเบียนให้ตามคำขอได้โจทก์ย่อมมีความจำเป็นต้องใช้โฉนดที่ดินไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเมื่อโฉนดที่ดินเลขที่2647อยู่ในความครอบครองของจำเลยเช่นนี้โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินนั้นให้แก่โจทก์เพื่อนำไปดำเนินการดังกล่าวได้ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่ยอมมอบโฉนดที่ดินอีกแปลงหนึ่งคืนแก่จำเลยเพื่อนำไปแบ่งตามข้อตกลงที่ป.ทำไว้กับจำเลยก็ดีจำเลยยังจัดการมรดกของอ.ไม่เสร็จก็ดีไม่ใช่เหตุที่จะมาลบล้างสิทธิของโจทก์ให้จำเลยไม่ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่2647แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2125/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้จัดการมรดกในการจัดการทรัพย์สินมรดก และการส่งมอบโฉนดที่ดินเพื่อจดทะเบียน
โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของป. ย่อมมีสิทธิเข้าจัดการที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นมรดกของป. เพื่อนำมาแบ่งแก่ทายาทและขอจดทะเบียนลงชื่อผู้จัดการมรดกของป. ในโฉนดที่ดินมรดกได้ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา82โดยต้องนำโฉนดที่ดินมาแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินด้วยเมื่อโฉนดที่ดินอยู่ในความครอบครองของจำเลยโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยส่งมอบโฉนดได้ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยยังจัดการมรดกของอ. ในที่ดินดังกล่าวไม่เสร็จก็ดีไม่ใช่เหตุที่จะลบล้างสิทธิของโจทก์ให้จำเลยไม่ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์แต่เมื่อโจทก์ดำเนินการจดทะเบียนลงชื่อผู้จัดการมรดกเสร็จแล้วต้องมอบโฉนดที่ดินคืนแก่จำเลยตามเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2125/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการจัดการทรัพย์สินรวมเมื่อมีผู้ถึงแก่ความตาย ผู้จัดการมรดกมีสิทธิเรียกร้องโฉนดที่ดินเพื่อดำเนินการแบ่งมรดก
จำเลยและ ป. กับพวกอีก 2 คนต่างก็เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 2647 เมื่อ ป.ถึงแก่ความตาย โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ ป.ย่อมมีสิทธิเข้าจัดการที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนที่เป็นมรดกของ ป.เพื่อนำมาแบ่งปันให้แก่ทายาท โจทก์จึงมีสิทธิขอจดทะเบียนลงชื่อผู้จัดการมรดกของ ป. ในโฉนดที่ดินเลขที่2647 ซึ่งเป็นหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินได้ตาม ป.ที่ดิน มาตรา 82 และเนื่องจากบทกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้โจทก์ต้องนำโฉนดมาแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินด้วยเจ้าพนักงานที่ดินจึงจะดำเนินการจดทะเบียนให้ตามคำขอได้ โจทก์ย่อมมีความจำเป็นต้องใช้โฉนดที่ดินไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เมื่อโฉนดที่ดินเลขที่ 2647 อยู่ในความครอบครองของจำเลยเช่นนี้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินนั้นให้แก่โจทก์เพื่อนำไปดำเนินการดังกล่าวได้ ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่ยอมมอบโฉนดที่ดินอีกแปลงหนึ่งคืนแก่จำเลยเพื่อนำไปแบ่งตามข้อตกลงที่ ป.ทำไว้กับจำเลยก็ดี จำเลยยังจัดการมรดกของ อ.ไม่เสร็จก็ดี ไม่ใช่เหตุที่จะมาลบล้างสิทธิของโจทก์ให้จำเลยไม่ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 2647 แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2114/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวก่อนคดีถึงที่สุด ศาลอนุญาตได้เมื่อจำเลยไม่คัดค้าน สิทธิฟ้องระงับ
คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวโจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้เมื่อจำเลยไม่คัดค้านศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้และสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(2)ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกาและเมื่อศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกาแล้วย่อมไม่จำต้องสั่งคำร้องขอถอนฎีกาของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2114/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวก่อนคดีถึงที่สุด และผลกระทบต่อการพิจารณาคดี
คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวโจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้เมื่อจำเลยไม่คัดค้านศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้และสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(2)ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกาและเมื่อศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกาแล้วย่อมไม่จำต้องสั่งคำร้องขอถอนฎีกาของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2114/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว ศาลอนุญาตได้ก่อนคดีถึงที่สุดเมื่อจำเลยไม่คัดค้าน
คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว โจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ เมื่อจำเลยไม่คัดค้าน ศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ และสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา39(2) ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกา และเมื่อศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกาแล้ว ย่อมไม่จำต้องสั่งคำร้องขอถอนฎีกาของจำเลย
of 64