พบผลลัพธ์ทั้งหมด 636 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแผ้วถางป่าในเขตป่าจำแนก ต้องได้รับอนุญาตหรือประกาศจัดเป็นพื้นที่เกษตรกรรมจึงจะชอบด้วยกฎหมาย
การแผ้วถางหรือยึดถือหรือครอบครองป่าอันจะเข้าข้อยกเว้นความผิด ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 วรรคแรกจะต้องเป็นกรณีที่กระทำภายในเขตที่ได้จำแนกไว้เป็นประเภทเกษตรกรรมและรัฐมนตรีได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือโดย ได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น ที่เกิดเหตุอยู่ในเขตป่าจำแนกซึ่งทางราชการกันไว้สำหรับจัดเป็นที่ทำกินสำหรับประชาชนในภายหน้า แต่ปัจจุบันยังไม่มีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว จึงเป็นป่าจำแนกซึ่งยังมิได้จำแนกไว้เป็นประเภทเกษตรกรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังมิได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจำเลยมิได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เข้าแผ้วถางหรือยึดถือหรือครอบครองป่าที่เกิดเหตุ จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54,72 ตรี วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2478/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับประกันภัย: จำเลยขับรถคันเอาประกันภัยโดยไม่มีความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย สัญญาประกันภัยใช้ไม่ได้
จำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์คันที่ อ. ทำสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลยร่วมโดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 887จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่ออ.จะต้องรับผิดเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าอ. จะต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เช่นกัน แม้สัญญาประกันภัยระบุว่า ผู้รับประกันภัยจะถือว่าบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยกับอ. ผู้เอาประกัน มีนิติสัมพันธ์กันอย่างไร และจำเลยขับรถยนต์คันที่ อ. เอาประกันภัยไว้ในฐานะอะไร ถือไม่ได้ว่าจำเลยขับรถโดยความยินยอมจาก อ. ดังนั้น โจทก์จะถือเอาประโยชน์จากข้อสัญญาประกันภัยดังกล่าวหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2372/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินที่ได้มาตามพินัยกรรมและการครอบครองปรปักษ์: พระบรมราชโองการมีผลเป็นกฎหมายคุ้มครองสิทธิ
ที่ดินพิพาทมีพระบรมราชโองการแสดงถึงพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชทานที่ดินแก่เจ้ามรดกเพื่อใช้เป็นที่ทำฮวงซุ้ยฝังศพบุคคลในตระกูล ตลอดไปไม่พึงประสงค์ให้บุคคลภายนอกละเมิดสิทธิ เมื่อเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้ผู้สืบตระกูล ต่างมีสิทธิร่วมกันในที่ดินมิให้โอนขายจำหน่ายสิทธิ ทั้งระบุให้ผู้สืบตระกูล มีหน้าที่ปฏิบัติตามพินัยกรรมนั้น หากทำตามความประสงค์ไม่ได้ ก็มีทางแก้ไขเฉพาะวิธีการทำฎีกาทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้ข้อความในพินัยกรรมดังกล่าวจะมีลักษณะคล้ายเป็นการก่อตั้งทรัสต์ แต่เมื่อได้กระทำก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ใช้บังคับเมื่อ พ.ศ. 2468ก็นับว่าพินัยกรรมส่วนนี้สมบูรณ์ใช้ได้ไม่ขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1686 พระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย่อมมีผลเป็นกฎหมาย เมื่อมิได้มีพระบรมราชโองการของพระองค์ท่านเองหรืออำนาจเด็ดขาดอื่นใดยกเลิกเพิกถอนโดยเฉพาะแล้วพระบรมราชโองการนั้นย่อมมีผลอยู่ ฉะนั้น การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการรับรองความถูกต้องของพินัยกรรมให้ที่ดินพิพาทเป็นที่ฝังศพของบุคคลในตระกูลเจ้ามรดกเป็นการถาวรดังความในพินัยกรรม ทั้งทรงห้ามบุคคลใดฟ้องร้องเพื่อบังคับเอาที่ดินพิพาทไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หากมีการฟ้องร้องดังกล่าวก็ห้ามมิให้ผู้พิพากษารับฟ้องรับวินิจฉัยคดีให้ผิดไปจากพินัยกรรมนั้น ย่อมมีผลรวมถึงการห้ามมิให้ฟ้องร้องเอาที่ดินพิพาทโดยอ้างการครอบครองปรปักษ์ด้วย เพราะมิฉะนั้นแล้วอาจเป็นช่องทางให้ทายาท หรือผู้จัดการมรดกหลีกเลี่ยงข้อความในพินัยกรรมและขัดต่อพระราชประสงค์ โดยวิธีปล่อยให้ผู้รับโอนที่ดินพิพาทครอบครองปรปักษ์ และใช้ที่ดินพิพาทไปแสวงประโยชน์อย่างอื่นนอกจากใช้เป็นที่ฝังศพของตระกูล เป็นการทำให้วัตถุประสงค์ในพินัยกรรมไร้ผลเมื่อเป็นเช่นนี้ จำเลยจึงไม่อาจยกเอาอายุความครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2105/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนหนังสือค้ำประกันโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ทำให้หนี้ระงับสิ้นสุด ผู้ค้ำประกันยังคงมีผลผูกพัน
เหตุที่หนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารจำเลยที่ 2 หายไปจากกองการเงินของโจทก์ ปรากฏว่าโจทก์ไม่ทราบว่าหายไปเมื่อใดจึงไม่ใช่เป็นกรณีที่โจทก์ยินยอมคืนหนังสือสัญญาค้ำประกันแก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วแต่เป็นเรื่องที่ได้มีการกระทำผิดต่อกฎหมายโดยมีผู้ลักเอาหนังสือสัญญาค้ำประกันไปเมื่อเอกสารดังกล่าวหายไปจากความครอบครองของโจทก์ โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์คืนเอกสารนั้นแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้เอกสารดังกล่าวมาอย่างไร จึงมิใช่กรณีที่จำเลยที่ 1ได้เอกสารนั้นมาโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยที่ 2 จะได้เอกสารดังกล่าวไว้ในครอบครองก็หาใช่กรณีที่หนี้ของลูกหนี้ได้ระงับสิ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698 ไม่ สัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 2 ยังคงมีผลบังคับ หนี้ตามสัญญาค้ำประกันจึงยังไม่ระงับ โจทก์ชอบที่จะบังคับเอาจากจำเลยที่ 2 ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว แม้จำเลยที่ 2 จะอ้างว่ารับคืนสัญญาค้ำประกันนั้นจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต ก็หาใช่เหตุที่จะทำให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นความรับผิดไม่ ข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 327วรรคสาม มิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด หากปรากฏข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น ก็ย่อมฟังตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้นได้ เมื่อโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หนี้ตามสัญญาค้ำประกันยังไม่ระงับกรณีจึงไม่ต้องด้วยบทข้อสันนิษฐานแห่งกฎหมายมาตราดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2105/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันยังผูกพัน แม้เอกสารหายและคืน-สุจริต-ข้อสันนิษฐานตามกฎหมายมิใช่เด็ดขาด
หนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารจำเลยที่ 2 ที่ค้ำประกันหนี้ในการที่จำเลยที่ 1 ซื้อสินค้าไปจากโจทก์ได้หายไปจากกองการเงินของโจทก์ โดย มีผู้ลักเอาไป มิใช่จำเลยที่ 1 ได้เอกสารดังกล่าวคืนมาจากโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยที่ 2จะได้รับเอกสารนั้นมาจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต ก็มิใช่กรณีที่หนี้ของลูกหนี้ได้ระงับสิ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 698 สัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 2 ยังมีผลบังคับ ข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา327 วรรคสาม มิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด หากปรากฏข้อเท็จจริงจากทางนำสืบเป็นอย่างอื่น ก็ฟังตามข้อเท็จจริงนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2105/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนสัญญาค้ำประกันโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผลต่อความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
เหตุที่หนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารจำเลยที่ 2 หายไปจากกองการเงินของโจทก์ ปรากฏว่าโจทก์ไม่ทราบว่าหายไปเมื่อใดจึงไม่ใช่เป็นกรณีที่โจทก์ยินยอมคืนหนังสือสัญญาค้ำประกันแก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้โจทก์แล้ว แม้จำเลยที่ 2จะได้เอกสารดังกล่าวไว้ในครอบครองก็หาใช่กรณีที่หนี้ของลูกหนี้ได้ระงับสิ้นไปแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 698 ไม่ และแม้จำเลยที่ 2จะอ้างว่ารับคืนสัญญาค้ำประกันนั้นจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต ก็มิใช่เหตุที่จะทำให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นความรับผิด ข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 327 วรรคสาม มิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด หากปรากฏข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น ก็ย่อมฟังตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้นได้ เมื่อโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หนี้ตามสัญญาค้ำประกันยังไม่ระงับ กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทข้อสันนิษฐานแห่งกฎหมายมาตราดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1963/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานนอกประเด็นและการประวิงคดีในคดีซื้อขายตั๋วสัญญาใช้เงิน
จำเลยทั้งสองให้การแต่เพียงว่า ไม่เคยขายตั๋วสัญญาใช้เงิน กับโจทก์ไม่เคยทำสัญญาใด ๆ กับโจทก์ เอกสารท้ายคำฟ้องเป็นเอกสารปลอมจำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้เกี่ยวกับเรื่องดอกเบี้ย หรือการ ซื้อขายตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ถูกต้องหรือผิดแบบประเพณีการค้า แต่อย่างใด การที่จำเลยทั้งสองขอให้ส่งประเด็นไปสืบ ผู้จัดการธนาคารแห่งประเทศไทยสาขาขอนแก่น ในเรื่องการคิดดอกเบี้ย และวิธีการซื้อขายตั๋วสัญญาใช้เงิน จึงเป็นการขอสืบพยานนอกประเด็น พฤติการณ์ของจำเลยเห็นได้ชัดว่าเป็นการประวิงคดี ที่ศาลชั้นต้น สั่งงดสืบพยานดังกล่าวจึงชอบแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1963/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานนอกประเด็น และการประวิงคดีในคดีแพ่ง
จำเลยทั้งสองให้การแต่เพียงว่า ไม่เคยขายตั๋วสัญญาใช้เงินกับโจทก์ไม่เคยทำสัญญาใด ๆ กับโจทก์ เอกสารท้ายคำฟ้องเป็นเอกสารปลอม จำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้เกี่ยวกับเรื่องดอกเบี้ย หรือการซื้อขายตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ถูกต้องหรือผิดแบบประเพณีการค้าแต่อย่างใด การที่จำเลยทั้งสองขอให้ส่งประเด็นไปสืบผู้จัดการธนาคารแห่งประเทศไทยสาขาขอนแก่นในเรื่องการคิดดอกเบี้ยและวิธีการซื้อขายตั๋วสัญญาใช้เงิน จึงเป็นการขอสืบพยานนอกประเด็น พฤติการณ์ของจำเลยเห็นได้ชัดว่าเป็นการประวิงคดี ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานดังกล่าวจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1877/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนคำสั่งศาลและการเลื่อนการไต่สวน: ศาลไม่เห็นควรเพิกถอนคำสั่งงดการไต่สวนเมื่อผู้ร้องไม่มาศาลโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ศาลให้โอกาสผู้ร้องคัดค้านเลื่อนการไต่สวนมาหลายนัดแล้วและรายงานกระบวนพิจารณานัดสุดท้ายระบุว่า นัดหน้าจะไม่ขอเลื่อนคดีอีก นัดหน้าหากผู้ร้องคัดค้านไม่มาหรือขอเลื่อนคดีอีกก็ยอมให้ถือว่าผู้ร้องคัดค้านไม่ติดใจสืบพยานต่อไป เมื่อผู้ร้องคัดค้านไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้งดการไต่สวนและถือว่าผู้ร้องคัดค้านไม่มีพยานมาสืบได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1861/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายอาคารพาณิชย์ตามคำโฆษณา: การนำสืบข้อความในสัญญา และสิทธิของโจทก์เมื่อจำเลยผิดสัญญา
จำเลยโฆษณาขายอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินว่าเป็นศูนย์รวมรถเมล์โรงแรม โรงภาพยนตร์ และตลาดสด โครงการจะสร้างเสร็จภายใน 1 ปีต่อมาโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อขายอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินจากจำเลยแม้จะไม่มีข้อความตามคำโฆษณาดังกล่าวในสัญญานั้นก็ตาม แต่แผนผังแนบท้ายสัญญาซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเป็นแผนผังศูนย์การค้าที่จำเลยจะสร้าง แสดงที่ตั้งของอาคารพาณิชย์ ศูนย์รวมรถเมล์โรงแรม โรงภาพยนตร์ ตลาดสด และอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินที่โจทก์ตกลงจะซื้อ ดังนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธินำคำโฆษณาเสนอขายของจำเลยตอนทำสัญญาจะซื้อจะขายมาสืบได้เพราะเป็นการนำสืบอธิบายข้อความในเอกสารสัญญาจะซื้อจะขาย มิใช่การนำสืบเพิ่มเติมตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญา ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ตามสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยจำเลยมีหน้าที่ต้องสร้างศูนย์รวมรถเมล์ โรงแรม โรงภาพยนตร์และตลาดสดในบริเวณศูนย์การค้าภายในเวลา 1 ปี ตราบใดที่จำเลยยังไม่ชำระหนี้โดยไม่สร้างศูนย์การค้าภายในกำหนดเวลาดังกล่าวอันถือว่าผิดสัญญา โจทก์ซึ่งมีหน้าที่ต้องชำระเงินค่าซื้อก็ไม่จำต้องชำระเงินค่าซื้อต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 369 และยังมีสิทธิเลิกสัญญาต่อจำเลยได้ตามมาตรา 387เมื่อโจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาต่อจำเลยแล้ว จำเลยก็มีหน้าที่ต้องคืนเงินค่าซื้อที่โจทก์ชำระแล้วให้โจทก์ตามมาตรา 391