คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เธียรไท สุนทรนันท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 189 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คเพื่อชำระหนี้ที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ: ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
หนี้เงินกู้ยืมเกินกว่าห้าสิบบาทไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมไว้เป็นหนังสือเป็นหนี้ที่ไม่อาจฟ้องร้องบังคับกันได้ตามกฎหมาย การที่จำเลยออกเช็คพิพาทเปลี่ยนเอาเช็คเดิมซึ่งจำเลยออกให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้เงินยืมและโจทก์มิได้นำเข้าเรียกเก็บเงินเช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวไม่เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คชำระหนี้เงินกู้ยืมไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ไม่อาจฟ้องบังคับได้ และไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
เช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมเกินกว่า 50 บาท โดยมิได้มีการทำหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินไว้เป็นหนังสือ เมื่อไม่มีการนำเช็คนั้นเข้าเรียกเก็บเงิน เช็คพิพาทซึ่งออกมาเพื่อเปลี่ยนเอาเช็คเดิมไป จึงเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวซึ่งไม่อาจฟ้องร้องบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท การออกเช็คพิพาทจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ไม่อาจฟ้องบังคับได้ การออกเช็คพิพาทไม่เป็นความผิด
เช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมเกินกว่า 50 บาท โดยมิได้มีการทำหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินไว้เป็นหนังสือ เมื่อไม่มีการนำเช็คนั้นเข้าเรียกเก็บเงิน เช็คพิพาทซึ่งออกมาเพื่อเปลี่ยนเอาเช็คเดิมไป จึงเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าว ซึ่งไม่อาจฟ้องร้องบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท การออกเช็คพิพาทจึงไม่เป็นความผิดตามพระราช-บัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5586/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิทายาทและการครอบครองมรดก: อายุความฟ้องเรียกคืน และการเปลี่ยนแปลงลักษณะการครอบครอง
พ. เจ้ามรดกมิได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ทั้งสี่และว. พี่สาวของโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดก แม้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตายหรือนับแต่โจทก์ทั้งสี่ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายเจ้าของมรดกคดีโจทก์ทั้งสี่ก็ ไม่ขาดอายุความ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนเป็นลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทไปยังโจทก์ทั้งสี่และว.พี่สาวโจทก์ทั้ง สี่ผู้เป็นทายาทของเจ้ามรดกว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนอีกต่อไป จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ได้ฟ้องเรียกที่พิพาทคืนภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง จึงขาดสิทธิฟ้องเรียกคืนหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5586/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินของทายาทและอายุความฟ้องเรียกคืน
พ. เจ้ามรดกมิได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ทั้งสี่และว.พี่สาวของโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดก แม้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตายหรือนับแต่โจทก์ทั้งสี่ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก คดีโจทก์ทั้งสี่ก็ไม่ขาดอายุความ
เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทไปยังโจทก์ทั้งสี่และ ว.พี่สาวโจทก์ทั้งสี่ผู้เป็นทายาทของเจ้ามรดกว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนอีกต่อไป จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ได้ฟ้องเรียกที่พิพาทคืนภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง จึงขาดสิทธิฟ้องเรียกคืนหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4368/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเพิกถอนการซื้อขายที่ดินเนื่องจากการฉ้อฉล คำพิพากษาชี้ว่าอายุความเริ่มนับจากวันที่โจทก์ทราบถึงการฉ้อฉล
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2529 เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนโอนขายที่ดินของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 สำนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา สาขาบางคล้า ได้ทำหนังสือไปถึงโจทก์ลงวันที่ 2 เมษายน 2529 แจ้งให้ทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินที่ขอให้ระงับการโอนไว้ให้แก่จำเลยที่ 2 ไปแล้ว นิติกรสังกัดกองนิติการของโจทก์ทำบันทึกเรื่องราวเสนอให้อธิบดีของโจทก์ทราบข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2529 จึงถือได้ว่า โจทก์ได้รู้ถึงการฉ้อฉลรายนี้เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2529 โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2530 ยังไม่พ้น 1 ปีนับแต่เวลาที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน หรือพ้น10 ปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมนั้น คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4077/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย: การยิงตอบโต้ในสถานการณ์ที่ถูกยิงก่อนในพื้นที่เสี่ยง
ขณะเกิดเหตุมีเสียงปืนจากทางฝ่ายผู้ตายก่อน ขณะนั้นเป็นยามวิกาลและหมู่บ้านที่เกิดเหตุมีโจรผู้ร้ายชุกชุมย่อมมีเหตุอันสมควรที่จำเลย จะเข้าใจว่า ฝ่ายผู้ตายซึ่งใช้อาวุธปืนยิงก่อนนั้นเป็นคนร้ายและใช้อาวุธปืนยิงใส่ตนซึ่งขณะนั้นอยู่ห่างกันเพียงประมาณ 15 เมตร และจำเลยที่ 1 ไม่อาจทราบได้ว่าจะมีการใช้อาวุธปืนยิงใส่ตนอีกหรือไม่ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนคาร์ไปน์ยิงไปที่ผู้ตายทั้งชุดในภาวะเช่นนั้น จึงมิใช่เป็นการกระทำด้วยความประมาทและถือได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4067/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่ชัดเจน ความสัมพันธ์ผู้เสียหาย-จำเลย และระยะเวลาแจ้งความ เป็นเหตุให้ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัย
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดปลายแหลมจี้แล้วกระชากเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป แต่ผู้เสียหายตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นญาติกัน บ้านอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร ทางเข้าออกบ้านจำเลยต้องผ่านบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายกับจำเลยพบกันเป็นประจำ และเบิกความว่าหลังเกิดเหตุยังเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านไปมาตามปกติไม่ได้หลบหนีไปไหนแต่ทั้งผู้เสียหายและบิดาของผู้เสียหายไม่เคยพูดกับจำเลยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใดผู้เสียหายเพิ่งแจ้งความหลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้วถึง 17 วัน และเหตุที่จำเลยถูกจับกุมก็เป็นเรื่องอื่นมิใช่เพราะผู้เสียหายไปแจ้งความไว้ แสดงว่าผู้เสียหายเองก็ไม่แน่ใจว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ พยานโจทก์มีเหตุอันควรสงสัย จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4067/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานและการยกประโยชน์แห่งความสงสัยในคดีอาญา
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดปลายแหลมจี้แล้วกระชากเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป แต่ผู้เสียหายตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่าผู้เสียหายกับจำเลยเป็นญาติกัน บ้านอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตรทางเข้าออกบ้านจำเลยต้องผ่านบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายกับจำเลยพบกันเป็นประจำ และเบิกความว่าหลังเกิดเหตุยังเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านไปมาตามปกติไม่ได้หลบหนีไปไหนแต่ทั้งผู้เสียหายและบิดาของผู้เสียหายไม่เคยพูดกับจำเลยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ผู้เสียหายเพิ่งแจ้งความหลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้วถึง17 วัน และเหตุที่จำเลยถูกจับกุมก็เป็นเรื่องอื่นมิใช่เพราะผู้เสียหายไปแจ้งความไว้ แสดงว่าผู้เสียหายเองก็ไม่แน่ใจว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ พยานโจทก์มีเหตุอันควรสงสัย จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัย ให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3948/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนเองตามกฎหมายอาญา: ภยันตรายใกล้จะถึงและการใช้กำลังพอสมควร
การที่จำเลยเดินออกจากบ้านมาตามถนนในหมู่บ้านเนื่องจากน้อยใจที่ถูกสามีดุด่า มีคนเข้ามาเตะก้นและจับแขนจำเลย จำเลยตกใจหันกลับไปพร้อมกับแกว่งมีดโต้ที่ถือมาเพื่อป้องกันตัวไป 3 - 4 ครั้ง ครั้นเมื่อได้ยินเสียงร้องจึงจำได้ว่าเป็นผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำไปเพื่อป้องกันตนเองให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และการกระทำดังกล่าวพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด
of 19