คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 248 วรรคแรก

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 36 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9734/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีแพ่งต้องไม่ผูกพันข้อเท็จจริงจากคดีอาญาหากไม่ใช่คู่ความเดียวกัน หรือประเด็นไม่ตรงกัน
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46ที่จะต้องถือเอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญามาพิจารณาคดีส่วนแพ่งนั้น คดีแพ่งและคดีอาญาดังกล่าวจะต้องเป็นคู่ความเดียวกัน สำหรับสำนวนคดีแรกโจทก์ที่ 2 ฟ้องในฐานะเป็นเจ้าของรถบรรทุกและเป็นผู้เสียหายจากการเสื่อมเสียของรถและขาดประโยชน์รายได้อันเป็นสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่ 2 เองโดยเฉพาะหาได้รับช่วงมีสิทธิมาจากการที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง ส. จำเลยที่ 1 แต่ประการใดไม่ ทั้งโจทก์ที่ 1ในฐานะผู้รับประกันภัยจากโจทก์ที่ 2 ก็เป็นผู้รับช่วงสิทธิจากโจทก์ที่ 2 ผู้เอาประกันภัย ฉะนั้นโจทก์ทั้งสองจึงเป็นบุคคลภายนอกในคดีอาญาที่ศาลได้พิพากษาไปแล้วดังกล่าวรวมทั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็มิได้เคยเป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวด้วย เมื่อปรากฏว่าโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นบุคคลภายนอกในคดีอาญาดังกล่าวจึงจะนำหลักตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ที่ว่าให้ถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญามาใช้ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่งบังคับใช้ในคดีนี้หาได้ไม่สำหรับสำนวนคดีหลัง โจทก์จำเลยมิได้เป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าว ทั้งประเด็น ในคดีแพ่งคดีนี้มีว่า น. จำเลยที่ 3 เป็นผู้ขับรถโดยประมาทหรือไม่ เป็นคนละประเด็นกันกับคดีอาญาดังกล่าวซึ่งมีประเด็น ว่า ส. จำเลยที่ 1 คดีนี้ เป็นผู้ขับรถโดยประมาทหรือไม่จึงไม่มีเหตุที่จะต้องนำข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมาใช้ใน การพิจารณาคดีแพ่งเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่อ้างคำเบิกความของพยานขึ้นมาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพื่อให้ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของพยานไม่ถูกต้องเป็นการดึงปัญหาข้อเท็จจริงเข้ามาสู่ปัญหาข้อกฎหมายเพื่อให้มีการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายใหม่ว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ประมาทหรือไม่ อันเป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3548/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การพิพากษาคดีอาญาผูกพันคดีแพ่ง การไม่มีเจตนาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์
พยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และตามพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยที่1นำสืบมายังโต้เถียงสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทกันอยู่การที่จำเลยที่1เข้าไปไถปรับที่ดินก็ด้วยเชื่อโดยสุจริตว่ามีสิทธิที่จะเข้าไปทำได้จำเลยที่1จึงไม่มีความผิดฐานบุกรุกเมื่อจำเลยที่1ไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินพิพาทจำเลยที่1จึงไม่มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ซึ่งคันนาและต้นหว้าที่อยู่ในที่ดินพิพาทด้วย เมื่อในคดีอาญาฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่1ทำให้ทรัพย์ของโจทก์เสียหายในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46แม้คดีส่วนแพ่งคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา40ก็ตามแต่เมื่อการพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวซึ่งเป็นข้อกฎหมายจึงต้องฟังว่าจำเลยที่1มิได้ทำละเมิดอันจะต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายโมฆียะจากความสำคัญผิดในคุณสมบัติทรัพย์ และการบอกล้างสัญญาพร้อมคืนเงินมัดจำ
ขณะทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายโจทก์ไม่รู้ว่ามีคำสั่งห้ามโอนที่พิพาทการแสดงเจตนาเข้าทำสัญญาของโจทก์จึงเกิดจากการสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่จะซื้อซึ่งเป็นสาระสำคัญสัญญาจะซื้อขายจึงเป็นโมฆียะโจทก์มีสิทธิบอกล้างได้เมื่อโจทก์ใช้สิทธิบอกล้างโดยบอกเลิกสัญญาแล้ว สัญญาจะซื้อขายจึงตกเป็น โมฆะต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมจำเลยต้องคืน เงินมัดจำให้โจทก์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้วเมื่อจำเลยฎีกาว่าโจทก์ยังไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาย่อมเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานของศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกามีเพียง60,000บาทย่อมต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง: คดีมีทุนทรัพย์และไม่มีทุนทรัพย์พิจารณาจากคำขอหลัก
คดีที่มีทุนทรัพย์และไม่มีทุนทรัพย์รวมอยู่ในคดีเดียวกันจะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่นั้นต้องพิจารณาว่าคดีนั้นมีคำขอใดเป็นหลักคำขอใดเป็นคำขอที่ต่อเนื่องโจทก์มีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่1และที่2เมื่อเพิกถอนแล้วจึงให้จำเลยที่1โอนขายให้โจทก์พร้อมรับชำระราคาส่วนที่เหลือจึงถือว่าคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทเป็น คำขอหลักคำขอให้จำเลยที่1ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายเป็น คำขอต่อเนื่อง เมื่อคำขอหลักเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ซึ่งไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้วคำขอต่อเนื่องแม้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6790/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีประกันภัย: ผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์ และข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง
คดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะที่โจทก์รับประกันภัยรถยนต์จนถึงวันเกิดเหตุรถยนต์คันดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. และ ว. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดย ว. ทำสัญญาซื้อรถยนต์คันดังกล่าว จากห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ไม่ได้ความว่าพ. ผู้เอาประกันภัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะใดทั้งสิ้น พ.จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันดังกล่าว โจทก์ฎีกาว่าตามคำเบิกความพยาน-โจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า พ. เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุ เป็นผู้มีส่วนได้เสียฎีกาดังกล่าวเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ในข้อที่ว่า พ. มีส่วนเกี่ยวข้องกับรถคันเกิดเหตุในฐานะผู้เช่าซื้อหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า พ. เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือไม่ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6790/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงตามทุนทรัพย์ และประเด็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่ใช้ในการประกันภัย
คดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา248วรรคแรกศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะที่โจทก์รับประกันภัยรถยนต์จนถึงวันเกิดเหตุรถยนต์คันดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดส. และว. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยว. ทำสัญญาซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากห้างหุ้นส่วนจำกัดส. ไม่ได้ความว่าพ. ผู้เอาประกันภัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะใดทั้งสิ้นพ.จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันดังกล่าวโจทก์ฎีกาว่าตามคำเบิกความพยานโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าพ. เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุเป็นผู้มีส่วนได้เสียฎีกาดังกล่าวเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ในข้อทีว่าพ. มีส่วนเกี่ยวข้องกับรถคันเกิดเหตุในฐานะผู้เช่าซื้อหรือไม่จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าพ. เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามกฎหมายดังกล่าวศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2538/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: คดีราคาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาข้อเท็จจริงขัดมาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแม้จะมีคำขอตามฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็ตามแต่ประเด็นข้อพิพาทที่แท้จริงของคดีก็คือโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทส่วนคำขอที่ขอให้ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากประเด็นว่าสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์หรือจำเลยจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งเมื่อคดีนี้เป็นคดีมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสองแสนบาทจำเลยฎีกาโต้เถียงดุลพินิจให้การรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงและไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะฎีกาได้จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2538/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีที่มีราคาทรัพย์สินพิพาทเกินสองแสนบาท และประเด็นสิทธิครอบครอง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แม้จะมีคำขอตามฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็ตาม แต่ประเด็นข้อพิพาทที่แท้จริงของคดีก็คือ โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ส่วนคำขอที่ขอให้ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากประเด็นว่าสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์หรือจำเลย จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคา-เงินได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง เมื่อคดีนี้เป็นคดีมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสองแสนบาท จำเลยฎีกาโต้เถียงดุลพินิจให้การรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง และไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะฎีกาได้ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2538/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุราคาทรัพย์สินเกินสองแสนบาท และฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แม้จะมีคำขอตามฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็ตามแต่ประเด็นข้อพิพาทที่แท้จริงของคดีก็คือ โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ส่วนคำขอที่ขอให้ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากประเด็นว่าสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์หรือจำเลย จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง เมื่อคดีนี้เป็นคดีมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสองแสนบาท จำเลยฎีกาโต้เถียงดุลพินิจให้การรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงและไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะฎีกาได้ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2538/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: คดีมีราคาทรัพย์สินไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาข้อเท็จจริงขัดต่อกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแม้จะมีคำขอตามฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็ตามแต่ประเด็นข้อพิพาทที่แท้จริงของคดีก็คือโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทส่วนคำขอที่ขอให้ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากประเด็นว่าสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์หรือจำเลยจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งเมื่อคดีนี้เป็นคดีมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสองแสนบาทจำเลยฎีกาโต้เถียงดุลพินิจให้การรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงและไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะฎีกาได้จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา
of 4