พบผลลัพธ์ทั้งหมด 378 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 594/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประนีประนอมยอมความในคดีล้มละลาย: มติที่ประชุมเจ้าหนี้ชอบด้วยกฎหมายเมื่อเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหนี้
แม้การขอต่อศาลให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทของจำเลยจากจ. กับพวกผู้รับโอนตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา114จะเป็นอำนาจของผู้ร้องแต่หากผู้รับโอนกระทำโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนก็เพิกถอนการโอนไม่ได้จึงยังไม่แน่นอนว่าจะเพิกถอนการโอนได้หรือไม่การที่ จ. ขอยุติข้อพิพาทโดยเสนอให้เงินแทนการโอนที่ดินพิพาทแก่กองทรัพย์สินของจำเลยเป็นการขอประนีประนอมยอมความซึ่งผู้ร้องจะประนีประนอมยอมความได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ตามมาตรา145ประกอบด้วยมาตรา41เมื่อที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติยอมรับข้อเสนอของ จ. และไม่คัดค้านที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขอเพิกถอนการโอนต่อศาลเท่ากับเป็นการให้ความเห็นชอบและแม้เจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้จะมีจำนวนถึง57รายแต่มีเจ้าหนี้มาประชุม15รายและที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ก็หาใช่เป็นมติของเจ้าหนี้ฝ่ายข้างน้อยไม่มติของที่ประชุมเจ้าหนี้ที่ยอมรับข้อเสนอของ จ. จึงไม่ขัดต่อกฎหมายหรือประโยชน์อันร่วมกันของเจ้าหนี้ทั้งหลายอันผู้ร้องจะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ปฏิบัติตามมตินั้นตามมาตรา36ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 418/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลูกหนี้ร่วม: การพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้เป็นรายบุคคล แม้มีทรัพย์สินร่วมกัน
การพิจารณาว่าลูกหนี้ร่วมคนใดมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือไม่หรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมแต่ละคนเมื่อจำเลยที่1และที่2เป็นลูกหนี้ร่วมของโจทก์แม้จำเลยที่1มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินพอจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ย่อมเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่1เมื่อจำเลยที่2ถูกบังคับยึดทรัพย์ออกขายทอดตลาดและไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่สามารถชำระหนี้แก่โจทก์ได้จำเลยที่2จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติ ล้มละลายฯมาตรา8(5)การที่จำเลยที่1มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ได้ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยที่2ล้มละลายตามมาตรา14ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายหลังวันฟ้อง ไม่นำมาคำนวณทุนทรัพย์ – คดีเกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกา
คดีฟ้องขับไล่ปรากฏว่าจำเลยออกไปจากที่พิพาทหลังจากวันฟ้องแล้ว โจทก์ฎีกาในเรื่องค่าเสียหาย คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องขับไล่ในชั้นฎีกาคงมีปัญหาเฉพาะเรื่องค่าเสียหายเพียงอย่างเดียว เมื่อข้อพิพาทในชั้นฎีกาที่โจทก์เรียกร้องเป็นค่าเสียหายหลังวันฟ้อง จึงเป็นค่าเสียหายในอนาคต จะนำมาใช้คำนวณเป็นทุนทรัพย์ไม่ได้ จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาทคดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดเรื่องทุนทรัพย์ในการฎีกา: ค่าเสียหายหลังวันฟ้องถือเป็นค่าเสียหายในอนาคต ไม่อาจนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ได้
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยและบริวารออกจากโกดังพิพาทไปแล้วเมื่อวันที่15มีนาคม2533จึงให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์คิดถึงวันที่14มีนาคม2535โจทก์ฎีกาว่าจำเลยและบริวารเพิ่งออกไปเมื่อวันที่19พฤษภาคม2535ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายระหว่างวันที่15มีนาคม2533ถึงวันที่14พฤษภาคม2535ด้วยคดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องขับไล่ในชั้นฎีกาคงมีปัญหาเฉพาะเรื่องค่าเสียหายเพียงอย่างเดียวเมื่อค่าเสียหายดังกล่าวเป็นค่าเสียหายหลังวันฟ้องจึงเป็นค่าเสียหายในอนาคตจะนำมาใช้คำนวณเป็นทุนทรัพย์ด้วยไม่ได้ต้องถือว่าจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 303/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแบ่งแยกที่ดินพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์และการครอบครอง ซึ่งมีราคาทรัพย์สินพิพาทไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสี่แบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ตามจำนวนเนื้อที่ที่โจทก์ครอบครองจำเลยทั้งสี่ให้การว่าการแบ่งแยกที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสี่จะต้องแบ่งแยกให้โจทก์และจำเลยทั้งสี่ได้เนื้อที่ฝ่ายละครึ่งเป็นการให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองเกินส่วนของตนมาจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วยตามแผนที่วิวาทระบุว่าที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองมีเนื้อที่มากกว่าจำนวนทั้งสี่2งาน38ตารางวาเมื่อดูสภาพที่ดินพิพาทตามภาพถ่ายศาลฎีกาประเมินราคาที่ดินพิพาทได้เองโดยไม่ต้องส่งสำนวนคืนไปให้ศาลชั้นต้นประเมินราคาที่ดินพิพาทก่อนสภาพที่ดินพิพาทเป็นที่นาในชนบทห่างไกลความเจริญเนื้อที่2งาน38ตารางวามีราคาไม่เกินสองแสนบาทศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยทั้งสี่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดไม่ใช่ครอบครองแทนจำเลยทั้งสี่เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกาตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 303/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทครอบครองที่ดินเกินสัดส่วนและการห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่แบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ตามจำนวนเนื้อที่ที่โจทก์ครอบครอง จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การแบ่งแยกที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสี่จะต้องแบ่งแยกให้โจทก์และจำเลยทั้งสี่ได้เนื้อที่ฝ่ายละครึ่ง เป็นการให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองเกินส่วนของตนมา จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วย ตามแผนที่วิวาทระบุว่าที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองมีเนื้อที่มากกว่าจำนวนทั้งสี่ 2 งาน 38ตารางวา เมื่อดูสภาพที่ดินพิพาทตามภาพถ่าย ศาลฎีกาประเมินราคาที่ดินพิพาทได้เองโดยไม่ต้องส่งสำนวนคืนไปให้ศาลชั้นต้นประเมินราคาที่ดินพิพาทก่อน สภาพที่ดินพิพาทเป็นที่นาในชนบทห่างไกลความเจริญ เนื้อที่ 2 งาน 38 ตารางวามีราคาไม่เกินสองแสนบาท ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยทั้งสี่ โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดไม่ใช่ครอบครองแทนจำเลยทั้งสี่ เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 148/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทของเจ้าหน้าที่รถไฟที่ไม่กั้นถนน ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
พยานโจทก์ทั้งหมดไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่1มาก่อนไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยที่1เชื่อว่าเบิกความไปตามความเป็นจริง จำเลยที่1มีหน้าที่ปิดกั้นถนนซึ่งมีทางรถไฟผ่านได้เปิดสวิตช์สัญญาณไฟ5ดวงและให้สัญญาณโคมไฟสีเขียวแก่จำเลยที่2ผู้ขับขบวนรถไฟเพื่อผ่านแต่ไม่ได้นำแผงกั้นถนนไปปิดกั้นถนนเป็นสาเหตุทำให้รถยนต์โดยสารแล่นข้ามชนตู้โดยสารรถไฟเป็นเหตุให้คนตายการกระทำของจำเลยที่1จึงเป็นการ กระทำโดยประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยละเลยหน้าที่ยื่นขออนุญาตโอนที่ดินในเขตจัดรูปที่ดิน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ศาลพิพากษายืนตามศาลล่าง
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันในราคา230,000บาทโจทก์ได้ชำระค่าที่ดินให้แก่จำเลยที่1ไปทั้งสิ้น205,000บาทคงเหลืออยู่อีก15,000บาทนับว่าเป็นจำนวนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินที่โจทก์ได้ชำระให้แก่จำเลยทั้งสองแล้วแม้ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมซึ่งขณะที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทและวันครบกำหนดจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทยังอยู่ภายในกำหนดเวลาห้ามโอนแต่มีข้อยกเว้นว่าจะโอนได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่1ซึ่งเป็นผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทจะต้องยื่นคำขออนุญาตต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจำเลยที่1เบิกความรับว่าจำเลยที่1กับโจทก์ไม่เคยไปติดต่อที่สำนักงานจัดรูปที่ดินแสดงว่าจำเลยที่1ไม่ได้ยื่นคำขออนุญาตโอนที่ดินพิพาทต่อคณะกรรมการจัดการรูปที่ดินถือได้ว่าจำเลยที่1ละเลยประกอบกับพยานคนกลางผู้ไกล่เกลี่ยกรณีของโจทก์กับจำเลยทั้งสองเบิกความว่าโจทก์ประสงค์จะรับโอนที่ดินพิพาทแต่จำเลยทั้งสองจะขอซื้อที่ดินพิพาทคืนจึงตกลงกันไม่ได้พยานหลักฐานของ โจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นฝ่าย ผิดสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำในคดีพิพาทที่ดิน: ศาลยกฟ้องเนื่องจากประเด็นข้อพิพาทถูกวินิจฉัยแล้วในคดีอื่น
ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับคดีหมายเลขแดงที่1123/2534ที่จำเลยทั้งสองคดีนี้ฟ้องให้ขับไล่โจทก์เป็นจำเลยในคดีหลังมีประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสองเมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือเป็นของจำเลยทั้งสองคดีนี้ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144แม้ว่าโจทก์จะได้ฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1123/2534ของศาลชั้นต้นก็ตามแต่เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดคดีแล้วกรณีก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับคดีหมายเลขแดงที่ 1123/2534 ที่จำเลยทั้งสองคดีนี้ฟ้องให้ขับไล่โจทก์เป็นจำเลยในคดีหลัง มีประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยขี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือเป็นของจำเลยทั้งสองคดีนี้ ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 แม้ว่าโจทก์จะได้ฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1123/2534 ของศาลชั้นต้นก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดคดีแล้ว กรณีก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเช่นกัน