พบผลลัพธ์ทั้งหมด 695 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6902/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้ร่วมขนส่งทางทะเล: การแจ้งเรือและเอกสารพิธีการศุลกากรไม่ถือเป็นผู้ขนส่งรายสุดท้าย
จำเลยไม่ได้เป็นผู้ขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้ารายพิพาทขึ้นจากเรือลงสู่ท่าแล้วขนไปพักยังโรงพักสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทยก่อนที่บริษัท ฟ. จะจ้าง อ. ให้ทำการขนส่งต่อไปยังโกดังของบริษัท ฟ. เพื่อเปิดตู้คอนเทนเนอร์ตรวจนับสินค้าและสำรวจความเสียหาย จำเลยจึงไม่ได้เป็นผู้ร่วมขนส่งสินค้ารายพิพาททางทะเลทอดสุดท้าย ลำพังแต่เพียงที่จำเลยแจ้งการมาถึงของเรือ รับใบตราส่งจากผูัรับตราส่งแล้วออกใบปล่อยสินค้าให้แก่ผู้รับตราส่งเพื่อนำไปรับสินค้าจากท่าเรือแห่งประเทศไทย หรือดำเนินพิธีการศุลกากรทางด้านเอกสารต่าง ๆ แทนผู้รับขนหรือนายเรือซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาหรือสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทยนั้น ไม่เป็นเหตุที่จะถือว่าจำเลยร่วมในการขนส่งทางทะเลทอดสุด-ท้ายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6655/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสืบพยานผู้พิการและการไม่คัดค้านการเลื่อนสืบพยาน
ศาลชั้นต้นให้โจทก์ใช้คำถามนำในการซักถามผู้เสียหายที่เป็นพยานโจทก์ซึ่งเป็นอัมพาตไม่อาจพูดจาหรือเปล่งเสียงได้ แต่ตอบคำถามโดยวิธีพยักหน้า ยักคิ้ว หรือการนิ่งเฉย เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 118 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
ทนายจำเลยถามค้านพยานปากผู้เสียหายบ้างแล้ว ผู้เสียหายหลับไป ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ว่า ทนายจำเลยหมดคำถามก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยคัดค้านว่ายังมีคำถามและขอถามค้านต่อไป หรือขอเลื่อนไปถามค้านต่อนัดหน้าก็ได้ เมื่อโจทก์ขอเลื่อนไปสืบพยานที่เหลือนัดหน้าจำเลยก็ไม่ค้าน ศาลรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายได้หาเป็นการขัดต่อกฎหมายไม่
ทนายจำเลยถามค้านพยานปากผู้เสียหายบ้างแล้ว ผู้เสียหายหลับไป ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ว่า ทนายจำเลยหมดคำถามก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยคัดค้านว่ายังมีคำถามและขอถามค้านต่อไป หรือขอเลื่อนไปถามค้านต่อนัดหน้าก็ได้ เมื่อโจทก์ขอเลื่อนไปสืบพยานที่เหลือนัดหน้าจำเลยก็ไม่ค้าน ศาลรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายได้หาเป็นการขัดต่อกฎหมายไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6555/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทนอกเหนือจากที่ศาลชั้นต้นกำหนด และการหักชำระหนี้ตาม ป.พ.พ.
แม้จำเลยที่ 1 จะให้การต่อสู้ว่าสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1และ จ.2 เป็นเอกสารปลอมก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ และจำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งคัดค้าน ถือว่าจำเลยที่ 1 สละประเด็นดังกล่าวแล้ว จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นเอกสารปลอมหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้จึงไม่ชอบ
จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ 2 ครั้ง ครั้งแรก จำนวนเงิน60,000 บาท มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน และครั้งที่สอง จำนวนเงิน 20,000 บาทดังนั้น การที่โจทก์เบิกเงินจากบัญชีของจำเลยที่ 1 หักชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์บางส่วนแล้วนั้น ต้องถือว่าโจทก์ได้หักชำระหนี้รายที่จำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์ครั้งที่สอง จำนวนเงิน 20,000 บาท ซึ่งไม่มีประกันเพื่อเป็นการปลดเปลื้องไปก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 328 วรรคสอง ส่วนที่เหลือจึงจะนำมาปลดเปลื้องหนี้ที่จำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์ครั้งแรกจำนวนเงิน 60,000 บาท ที่มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันได้
จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ 2 ครั้ง ครั้งแรก จำนวนเงิน60,000 บาท มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน และครั้งที่สอง จำนวนเงิน 20,000 บาทดังนั้น การที่โจทก์เบิกเงินจากบัญชีของจำเลยที่ 1 หักชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์บางส่วนแล้วนั้น ต้องถือว่าโจทก์ได้หักชำระหนี้รายที่จำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์ครั้งที่สอง จำนวนเงิน 20,000 บาท ซึ่งไม่มีประกันเพื่อเป็นการปลดเปลื้องไปก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 328 วรรคสอง ส่วนที่เหลือจึงจะนำมาปลดเปลื้องหนี้ที่จำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์ครั้งแรกจำนวนเงิน 60,000 บาท ที่มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6468/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของคำฟ้องเช็ค: การแสดงสภาพแห่งข้อหาและผู้ทรงเช็คโดยชอบ
คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงข้ออ้างแห่งข้อหาไว้ว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คตามภาพถ่ายท้ายฟ้อง สั่งธนาคารจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือในการชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์นำไปชำระหนี้แก่ผู้มีชื่อ เมื่อเช็คถึงกำหนดผู้มีชื่อนำเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจากธนาคาร แต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์จึงชำระเงินตามเช็คแก่ผู้มีชื่อแล้วเข้าถือเอาเช็คไว้ในครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามเช็ค พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ กับมีคำขอบังคับให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องก็คือจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตรา 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงโดยฐานมีเช็คสั่งจ่ายเงินให้ผู้ถืออยู่ในครอบครอง ทั้งคำฟ้องมีคำขอบังคับไว้แล้ว นับว่าโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยจะเข้าใจคำฟ้องได้แล้วว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.มาตรา 904ฟ้องจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คให้รับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 914ประกอบมาตรา 989 และรับผิดค่าดอกเบี้ยตามมาตรา 224 คำฟ้องของโจทก์จึงครบถ้วนสมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว แม้โจทก์จะมิได้บรรยายในคำฟ้องว่า โจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาด้วยมูลหนี้ใดและเหตุใดโจทก์จึงเข้าชำระหนี้และรับเอาเช็คนั้นมาทั้งคำฟ้องระบุแต่เพียงว่า รับเช็คมาจากผู้มีชื่อซึ่งจำเลยไม่อาจทราบได้ว่าผู้มีชื่อนั้นคือใคร ก็ไม่เป็นเหตุให้คำฟ้องของโจทก์ที่ชอบด้วยกฎหมายกลับกลายเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไปได้ เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่สภาพแห่งข้อหาหรือข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่โจทก์จำเป็นจะต้องแสดงไว้ในคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6468/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุมูลหนี้ เหตุผลในการชำระหนี้ และที่มาของเช็ค
คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงข้ออ้างแห่งข้อหาไว้ว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คตามภาพถ่ายท้ายฟ้อง สั่งธนาคารจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือในการชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์นำไปชำระหนี้แก่ผู้มีชื่อเมื่อเช็คถึงกำหนดผู้มีชื่อนำเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจากธนาคารแต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์จึงชำระเงินตามเช็คแก่ผู้มีชื่อแล้วเข้าถือเอาเช็คไว้ในครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามเช็ค พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ กับมีคำขอบังคับให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องก็คือจำเลยเป็นผู้สั่งเช็ค เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตรา 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงโดยฐานมีเช็คสั่งจ่ายเงินให้ผู้ถืออยู่ในครอบครอง ทั้งคำฟ้องมีคำขอบังคับไว้แล้วนับว่าโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยจะเข้าใจคำฟ้องได้แล้วว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 904 ฟ้องจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คให้รับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 ประกอบมาตรา 989และรับผิดค่าดอกเบี้ยตามมาตรา 224 คำฟ้องของโจทก์จึงครบถ้วนสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว แม้โจทก์จะมิได้บรรยายในคำฟ้องว่า โจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาด้วยมูลหนี้ใดและเหตุใดโจทก์จึงเข้าชำระหนี้และรับรองเอาเช็คนั้นมาทั้งคำฟ้องระบุแต่เพียงว่า รับเช็คมาจากผู้มีชื่อซึ่งจำเลยไม่อาจทราบได้ว่าผู้มีชื่อนั้นคือใคร ก็ไม่เป็นเหตุให้คำฟ้องของโจทก์ที่ชอบด้วยกฎหมายกลับกลายเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไปได้ เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่สภาพแห่งข้อหาหรือข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่โจทก์จำเป็นจะต้องแสดงไว้ในคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6329/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์เป็นที่สุด แม้ทำเป็นคำพิพากษา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา236บัญญัติไว้ว่าในกรณีที่มีอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์เมื่อผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ก็ดีหรือมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ก็ดีให้คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดฉะนั้นแม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้ทำในรูปคำสั่งแต่ได้ทำในรูปคำพิพากษาแต่ก็พิพากษายืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องก็ย่อมเป็นที่สุดเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6271/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ก่อนล้มละลายไม่ถือว่าเอื้อประโยชน์เจ้าหนี้รายใดรายหนึ่ง ผู้ร้องไม่มีอำนาจเพิกถอน
จำเลยมีเงินเหลือจากการไถ่ถอนจำนองเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้รายอื่นได้ทั้งหมด หาใช่จำเลยไม่มีทรัพย์สินใด ๆ พอจะชำระหนี้ได้ไม่การที่จำเลยนำเงินไปวางชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำพิพากษาแม้จำเลยได้กระทำในระหว่างระยะเวลา 3 เดือน ก่อนมีการขอให้ล้มละลาย ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านได้ตามมาตรา 115 แห่งพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483
ผู้คัดค้านแก้ฎีกาขอให้ผู้ร้องชดใช้ดอกเบี้ย โดยมิได้ทำเป็นฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ผู้คัดค้านแก้ฎีกาขอให้ผู้ร้องชดใช้ดอกเบี้ย โดยมิได้ทำเป็นฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6271/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการชำระหนี้ในคดีล้มละลาย: จำเลยยังมีทรัพย์สินเพียงพอชำระหนี้ เจ้าหนี้รายอื่นไม่ได้เสียประโยชน์
จำเลยมีเงินเหลือจากการไถ่ถอนจำนองเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้รายอื่นได้ทั้งหมดหาใช่จำเลยไม่มีทรัพย์สินใดๆพอจะชำระหนี้ได้ไม่การที่จำเลยนำเงินไปวางชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำพิพากษาแม้จำเลยได้กระทำในระหว่างระยะเวลา3เดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านได้ตามมาตรา115แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483 ผู้คัดค้านแก้ฎีกาขอให้ผู้ร้องชดใช้ดอกเบี้ยโดยมิได้ทำเป็นฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6177/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องชำรุดบกพร่อง: ตัวแทนตรวจรับสินค้าถือว่าผู้ซื้อทราบความชำรุดแล้ว
ตามปกติโจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อจะต้องเป็นผู้รับสินค้าจากจำเลยผู้ขายเมื่อโจทก์สั่งให้จำเลยส่งสินค้าที่ซื้อนั้นไปยังลูกค้าของโจทก์ซึ่งอยู่ต่างประเทศจำเลยได้จัดการส่งสินค้าตามที่โจทก์สั่งเช่นนี้ลูกค้าของโจทก์ผู้รับสินค้าย่อมเป็นตัวแทนของโจทก์โดยปริยายในการตรวจรับสินค้าเมื่อมีการตรวจพบว่าสินค้าชำรุดบกพร่องตัวแทนของโจทก์ย่อมตรวจพบได้ในวันนั้นเช่นกันต้องถือว่าโจทก์ได้ตรวจพบในวันนั้นแล้วดังนั้นการที่จำเลยส่งสินค้าไปยังลูกค้าของโจทก์ซึ่งอยู่ต่างประเทศตามคำสั่งของโจทก์และได้มีการตรวจพบความชำรุดบกพร่องของสินค้าเมื่อวันที่18เมษายน2531จึงต้องถือว่าโจทก์ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อจากจำเลยในวันนั้นสิทธิในการที่โจทก์จะฟ้องเพื่อให้จำเลยรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องเกิดมีขึ้นตั้งแต่วันที่18เมษายน2531แล้วหาใช้ตั้งแต่วันที่ลูกค้าของโจทก์แจ้งให้โจทก์ทราบถึงความชำรุดบกพร่องของสินค้านั้นไม่เมื่อนับวันที่โจทก์เกิดสิทธิฟ้องจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องพ้นเวลาหนึ่งปีแล้วฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6177/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องชำรุดบกพร่อง: เริ่มนับจากวันที่ตัวแทนผู้ซื้อตรวจพบความชำรุด ไม่ใช่วันที่ผู้ซื้อทราบ
ตามปกติโจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อจะต้องเป็นผู้รับสินค้าจากจำเลยผู้ขาย เมื่อโจทก์สั่งให้จำเลยส่งสินค้าที่ซื้อนั้นไปยังลูกค้าของโจทก์ซึ่งอยู่ต่างประเทศจำเลยได้จัดการส่งสินค้าตามที่โจทก์สั่งเช่นนี้ ลูกค้าของโจทก์ผู้รับสินค้าย่อมเป็นตัวแทนของโจทก์โดยปริยายในการตรวจรับสินค้า เมื่อมีการตรวจพบว่าสินค้าชำรุดบกพร่อง ตัวแทนของโจทก์ย่อมตรวจพบได้ในวันนั้นเช่นกัน ต้องถือว่าโจทก์ได้ตรวจพบในวันนั้นแล้วดังนั้น การที่จำเลยส่งสินค้าไปยังลูกค้าของโจทก์ซึ่งอยู่ต่างประเทศตามคำสั่งของโจทก์และได้มีการตรวจพบความชำรุดบกพร่องของสินค้าเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2531 จึงต้องถือว่าโจทก์ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อจากจำเลยในวันนั้นสิทธิในการที่โจทก์จะฟ้องเพื่อให้จำเลยรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องเกิดมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2531 แล้ว หาใช่ตั้งแต่วันที่ลูกค้าของโจทก์แจ้งให้โจทก์ทราบถึงความชำรุดบกพร่องของสินค้านั้นไม่ เมื่อนับวันที่โจทก์เกิดสิทธิฟ้องจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องพ้นเวลาหนึ่งปีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ