พบผลลัพธ์ทั้งหมด 695 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2384/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้เช็ค – พยานบุคคลมีน้ำหนักกว่าเอกสาร – ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเองได้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามเช็คหาใช่ฟ้องจำเลยให้รับผิดชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสืออันจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วจึงจะรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา653บัญญัติไว้แต่อย่างใดจำเลยย่อมนำสืบด้วยพยานบุคคลว่าได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วได้ ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยคำเบิกความของจำเลยและพยานจำเลยว่ามีน้ำหนักรับฟังได้หรือไม่โดยอ้างข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา653แล้วสรุปว่าฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้เช็คพิพาทให้โจทก์เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้เสียใหม่โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2384/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้เช็ค: ศาลต้องรับฟังพยานบุคคลสนับสนุนการชำระหนี้ แม้โจทก์ฟ้องในฐานะผู้รับเช็ค
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามเช็คหาใช่ฟ้องจำเลยให้รับผิดชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสืออันจะนำการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วจึงจะรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา653บัญญัติไว้แต่อย่างใดจำเลยย่อมนำสืบด้วยพยานบุคคลว่าได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วได้ ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยคำเบิกความของจำเลยและพยานจำเลยว่ามีน้ำหนักรับฟังได้หรือไม่โดยอ้างข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา653แล้วสรุปว่าฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้เช็คพิพาทให้โจทก์เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้เสียใหม่โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2264/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการรบกวนการครอบครองที่ดิน: การกระทำโดยเข้าใจผิดไม่ถือเป็นความผิด
โจทก์และจำเลยนำสืบพยานโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาท โดยโจทก์และจำเลยต่างฟ้องเป็นคดีแพ่งกล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท อีกฝ่ายรุกล้ำ ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ในระหว่างที่โจทก์และจำเลยยังโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทกันอยู่ การที่จำเลยเข้าไปปักเสาขึงลวดหนามและจำเลยปลูกต้นผลไม้ในที่ดินพิพาทโดยเข้าใจว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยจึงไม่มีเจตนาเข้าไปกระทำการใด ๆ ในอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 362
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2264/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินพิพาท: การกระทำโดยเข้าใจผิดเรื่องสิทธิในที่ดิน ไม่ถือเป็นการรบกวนการครอบครอง
จำเลยทั้งสองเข้าไปปักเสาขึงลวดหนามและจำเลยที่2ปลูกต้นผลไม้ในที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์จำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิกันและต่างฟ้องคดีแพ่งอ้างว่าตนมีสิทธิครอบครองโดยเข้าใจว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่2จำเลยทั้งสองจึงไม่มีเจตนาบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา326
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2264/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำในที่ดินพิพาทโดยเข้าใจผิดเรื่องสิทธิ ownership ไม่ถือว่ารบกวนการครอบครอง
โจทก์และจำเลยนำสืบพยานโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทโดยโจทก์และจำเลยต่างฟ้องเป็นคดีแพ่งกล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทอีกฝ่ายรุกล้ำขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายในระหว่างที่โจทก์และจำเลยยังโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทกันอยู่การที่จำเลยเข้าไปปักเสาขึงลวดหนามและจำเลยปลูกต้นผลไม้ในที่ดินพิพาทโดยเข้าใจว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยจำเลยจึงไม่มีเจตนาเข้าไปกระทำการใดๆในอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขจำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา362
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2182/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเอาเอกสารของผู้อื่นไป ทำให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของและผู้อื่น เป็นความผิดตามกฎหมาย
การที่จำเลยเอาบัญชีรายชื่อหัวหน้าครอบครัวชุมชน อ.ที่ประชาชนในชุมชน อ.ได้รวบรวมขึ้นและมอบไว้แก่ผู้เสียหายไปจากผู้เสียหายหลังจากผู้เสียหาย จำเลยและ อ.ได้เจรจากันเกี่ยวกับเรื่องประชาชนจะปลดจำเลยออกจากประธานกรรมการชุมชน อ. เป็นเหตุให้ผู้เสียหายไม่สามารถนำเอกสารดังกล่าวไปยื่นต่อผู้อำนวยการเขต ป.ได้ เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือประชาชน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเอาเอกสารผู้อื่นไปเสีย เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 188
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2182/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองเอกสารของผู้อื่นไปโดยไม่คืน ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188
จำเลยเอาเอกสารบัญชีรายชื่อหัวหน้าครอบครัวในเขตชุมชน ซึ่งประชาชนนำมามอบให้ผู้เสียหายเป็นผู้เก็บรักษาไว้ไปแล้วไม่คืนให้ผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายไม่สามารถนำไปยื่นต่อผู้อำนวยการเขตเพื่อให้ความ เห็นชอบให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งประธานชุมชนได้ เป็นการกระทำ ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือประชาชน มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2182/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์เอกสารสำคัญของชุมชน ทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถดำเนินการปลดประธานชุมชนได้
จำเลยเอาเอกสารบัญชีรายชื่อหัวหน้าครอบครัวในเขตชุมชนซึ่งประชาชนนำมามอบให้ผู้เสียหายเป็นผู้เก็บรักษาไว้ไปแล้วไม่คืนให้ผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายไม่สามารถนำไปยื่นต่อผู้อำนวยการเขตเพื่อให้ความเห็นชอบให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งประธานชุมชนได้เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือประชาชนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา188
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2127/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: ระงับสิทธิเรียกร้องเดิม, สิทธิใหม่ตามสัญญา, ไม่มีอำนาจถอนคืนการให้
ภายหลังจากโจทก์ยกที่ดินให้แก่จำเลยแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับที่ดินและทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้แก่จำเลยดังกล่าวรวมทั้งที่ดินพิพาทต่อหน้า พ.ผู้ใหญ่บ้านมีใจความว่า ที่ดินและทรัพย์สินที่ยกให้แก่จำเลยและเป็นชื่อของจำเลยแล้วนั้น ที่ดินที่เป็นที่สำหรับเพาะปลูก 1 แปลง จำเลยยอมยกให้ศ.และ ค. ส่วนที่ดินสำหรับอยู่อาศัยและสำหรับเพาะปลูกอีกอย่างละแปลงรวม2 แปลง จำเลยยอมโอนคืนให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ยอมยกยุ้งข้าว 1 หลังให้แก่จำเลย ซึ่งบันทึกดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาที่โจทก์และจำเลยตกลงระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นเกี่ยวกับที่ดินและทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้แก่จำเลยดังกล่าวนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ.มาตรา 850, 851 การเรียกร้องที่โจทก์จำเลยได้ยอมสละนั้นจึงระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ตามมาตรา 852 โจทก์จำเลยจึงไม่มีความผูกพันต่อกันตามสัญญาให้ที่โจทก์ยกที่ดินและทรัพย์สินรวมทั้งที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยอีกต่อไป เมื่อไม่มีการให้ที่จะเรียกถอนคืนการให้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกถอนคืนการให้ที่ดินพิพาทดังกล่าวจากจำเลย และเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2127/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นผลระงับสิทธิเรียกร้องเดิม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกคืนการให้
ภายหลังจากโจทก์ยกที่ดินให้แก่จำเลยแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับที่ดินและทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้แก่จำเลยดังกล่าวรวมทั้งที่ดินพิพาทต่อหน้า พ.ผู้ใหญ่บ้านมีใจความว่า ที่ดินและทรัพย์สินที่ยกให้แก่จำเลยและเป็นชื่อของจำเลยแล้วนั้น ที่ดินที่เป็นที่สำหรับเพาะปลูก 1 แปลง จำเลยยอมยกให้ศ.และค. ส่วนที่ดินสำหรับอยู่อาศัยและสำหรับเพราะปลูกอีกอย่างละแปลงรวม2 แปลง จำเลยยอมโอนคืนให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ยอมยกยุ้งข้าว1 หลังให้แก่จำเลย ซึ่งบันทึกดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาที่โจทก์และจำเลยตกลงระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นเกี่ยวกับที่ดินและทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้แก่จำเลยดังกล่าวนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850,851 การเรียกร้องที่โจทก์จำเลยได้ ยอมสละนั้นจึงระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ตามมาตรา 852 โจทก์จำเลยจึงไม่มีความผูกพันต่อกันตามสัญญาให้ที่โจทก์ยกที่ดินและทรัพย์สินรวมทั้งที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยอีกต่อไป เมื่อไม่มีการให้ที่จะเรียกถอนคืนการให้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกถอนคืนการให้ที่ดินพิพาทดังกล่าวจากจำเลย และเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246,247