คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ทองเลื่อน พูลพิพัฒน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 695 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4784/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หมดสิทธิบังคับคดี – ไม่มีส่วนได้เสีย – ตั้งผู้ชำระบัญชี
แม้โจทก์จะเป็นหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว โจทก์เพียงแต่ยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีไว้แต่หาได้แจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์สินใด ๆ ของจำเลยที่ 1 ไม่กลับปล่อยเวลาล่วงเลย 10 ปี จึงได้ร้องขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีบริษัทจำเลยทื่ 1โดยอ้างว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ถูกนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครขีดชื่อบริษัทออกเสียจากทะเบียน ดังนี้ ขณะที่โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีบริษัทจำเลยที่ 1นั้น โจทก์หมดสิทธิที่จะบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 แล้ว เพราะล่วงพ้นกำหนดเวลาที่โจทก์จะร้องขอให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 โจทก์จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในขณะยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีบริษัท จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิร้องขอตั้งผู้ชำระบัญชีบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1251 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4764/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการนำสืบพยานเพิ่มเติมในคดีล้มละลาย & การเพิกถอนการโอนสิทธิเช่าโดยสุจริต
การที่คู่กรณีฝ่ายใดได้ให้ถ้อยคำหรือแสดงพยานหลักฐานอย่างใดต่อผู้ร้องในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไว้แล้ว เมื่อมีปัญหาเป็นประเด็นข้อพิพาทขึ้นสู่ศาล คู่กรณีฝ่ายนั้นย่อมมีสิทธินำสืบข้อเท็จจริงในประเด็นนั้น ๆ ได้ แม้จะเป็นการเพิ่มเติมข้อเท็จจริงก็ตาม หามีกฎหมายห้ามไว้ไม่ เมื่อกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการสืบพยานหลักฐานเป็นไปโดยชอบแล้วพยานหลักฐานที่นำสืบก็ย่อมรับฟังได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้คัดค้านรับโอนสิทธิการเช่าอาคารและที่ดินราชพัสดุมาจากลูกหนี้โดยสุจริตและมีค่าตอบแทนจึงไม่เป็นกรณีที่จะเพิกถอนการโอนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4748/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหนี้ไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในกำหนด จึงหมดสิทธิร้องขอตั้งผู้ชำระบัญชี
โจทก์จะเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษา แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว โจทก์เพียงแต่ยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีไว้ โดยหาได้แจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์สินใด ๆ ของจำเลยที่ 1 ไม่ กลับปล่อยเวลาล่วงเลย 10 ปีไปแล้วจึงได้ร้องขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีบริษัทจำเลยที่ 1 โดยอ้างว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ถูกนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครขีดชื่อบริษัทออกเสียจากทะเบียน ดังนี้ ขณะที่โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีบริษัทจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์หมดสิทธิที่จะบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 แล้ว เพราะล่วงพ้นกำหนดเวลาที่โจทก์จะร้องขอให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ดังนั้น โจทก์ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย จึงไม่มีสิทธิร้องขอตั้งผู้ชำระบัญชีบริษัทจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1251 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4748/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หมดสิทธิบังคับคดีแล้ว ไม่มีสิทธิร้องขอตั้งผู้ชำระบัญชี
แม้โจทก์จะเป็นหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว โจทก์เพียงแต่ยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีไว้แต่หาได้แจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์สินใด ๆ ของจำเลยที่ 1 ไม่กลับปล่อยเวลาล่วงเลย 10 ปี จึงได้ร้องขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีบริษัทจำเลยที่ 1โดยอ้างว่า บริษัทจำเลยที่ 1 ถูกนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครขีดชื่อบริษัทออกเสียจากทะเบียน ดังนี้ ขณะที่โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีบริษัทจำเลยที่ 1นั้น โจทก์หมดสิทธิที่จะบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 แล้ว เพราะล่วงพ้นกำหนดเวลาที่โจทก์จะร้องขอให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 โจทก์จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในขณะยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีบริษัทจำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิร้องขอตั้งผู้ชำระบัญชีบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1251 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4688/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนผู้จัดการมรดกและการตั้งผู้จัดการมรดกใหม่เมื่อมีการแบ่งมรดกแล้วแต่ยังไม่จดทะเบียน
มารดาผู้ร้องและคัดค้านได้แบ่งที่ดินมรดกของบิดาให้ทายาททุกคน ซึ่งรวมทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้าน ได้ เข้าครอบครองเป็นสัดส่วนแล้ว เป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดก โดยชอบด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคแรกเมื่อผู้ร้องได้ขายที่ดินมรดกที่ได้รับแบ่งให้ไปแล้วจึงไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดกอีก แม้ต่อมาผู้ร้องได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกของบิดาก็ไม่มีสิทธิจัดการมรดก ดังนั้น เมื่อผู้ร้องขอจะใช้อำนาจผู้จัดการมรดกมาเรียกร้องเอาส่วนแบ่งใหม่ให้ผิดไป จากที่ได้แบ่งปันกันไปแล้ว จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตกระทบกระเทือนสิทธิของผู้คัดค้านและทายาทอื่นซึ่งครอบครองทรัพย์มรดกส่วนของตนอยู่ มีเหตุสมควรให้ศาลถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727 แม้มีการแบ่งปันที่ดินมรดกโดยผู้คัดค้านและทายาทอื่นเข้าครอบครองเป็นส่วนสัดแล้วก็ตาม แต่ที่ดินมรดกรายนี้เป็นที่ดินมี น.ส.3 และยังไม่ได้จดทะเบียนแบ่งแยกทั้งเคยมีการไปขอให้เจ้าหน้าที่ที่ดินดำเนินการ แบ่งแยกทะเบียน แต่ได้รับการปฏิเสธที่จะดำเนินการแบ่งแยกทางทะเบียนให้โดยอ้างว่าต้องให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้ขอแบ่งแยกทางทะเบียน กรณีจึงพอถือได้ว่าการจัดการ หรือแบ่งปันมรดกที่ดินของผู้ตายมีเหตุขัดข้องทั้งผู้คัดค้านมีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718จึงตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกที่ดินของผู้ตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4688/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการมรดก: สิทธิของผู้จัดการมรดก & การแบ่งมรดกโดยชอบด้วยกฎหมาย
มารดาผู้ร้องและผู้คัดค้านได้แบ่งที่ดินมรดกของบิดาให้ทายาททุกคน ซึ่งรวมทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านได้เข้าครอบครองเป็นสัดส่วนแล้ว เป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรรคแรก เมื่อผู้ร้องได้ขายที่ดินมรดกที่ได้รับแบ่งให้ไปแล้ว จึงไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดกอีก แม้ต่อมาผู้ร้องได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกของบิดาก็ไม่มีสิทธิจัดการมรดกดังนั้น เมื่อผู้ร้องจะใช้อำนาจผู้จัดการมรดกมาเรียกร้องเอาส่วนแบ่งใหม่ให้ผิดไปจากที่ได้แบ่งปันกันไปแล้ว จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตกระทบกระเทือนสิทธิของผู้คัดค้านและทายาทอื่นซึ่งครอบครองทรัพย์มรดกส่วนของตนอยู่ มีเหตุสมควรให้ศาลถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1727
แม้มีการแบ่งปันที่ดินมรดกโดยผู้คัดค้านและทายาทอื่นเข้าครอบครองเป็นส่วนสัดแล้วก็ตาม แต่ที่ดินมรดกรายนี้เป็นที่ดินมี น.ส.3 และยังไม่ได้จดทะเบียนแบ่งแยก ทั้งเคยมีการไปขอให้เจ้าหน้าที่ที่ดินดำเนินการแบ่งแยกทางทะเบียน แต่ได้รับการปฏิเสธที่จะดำเนินการแบ่งแยกทางทะเบียนให้โดยอ้างว่าต้องให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้ขอแบ่งแยกทางทะเบียน กรณีจึงพอถือได้ว่าการจัดการหรือแบ่งปันมรดกที่ดินของผู้ตายมีเหตุขัดข้อง ทั้งผู้คัดค้านมีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามที่จะเป็นผู้จัดการมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1718 จึงตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกที่ดินของผู้ตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4686/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้คดีเช็คโดยอ้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้ทรงคนก่อน ถือเป็นการต่อสู้ที่ไม่ชอบและไม่ก่อให้เกิดประเด็นพิพาท
จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้แก่ผู้ถือ โจทก์เป็นผู้รับโอนเช็คพิพาทจึงเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดต้องชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900,914,989 ประกอบ 224 การที่จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริง บิดเบือนข้อเท็จจริงมาฟ้องจำเลย เพราะเช็คพิพาทจำเลยสั่งจ่ายให้แก่ผู้มีชื่อไว้เป็นประกันการกู้ยืมเงิน มิได้สั่งจ่ายเพื่อการชำระหนี้ดังที่โจทก์อ้าง ความจริงแล้วโจทก์กับผู้มีชื่อไม่มีหนี้ต่อกันโจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบ คำให้การของจำเลยเป็นการต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยกับผู้ทรงคนก่อน ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916ประกอบมาตรา 989 คำให้การของจำเลยมิได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากผู้มีชื่อซึ่งเป็นผู้ทรงคนก่อน ๆ ด้วยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยอย่างไรและที่ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบจำเลยก็มิได้อ้างเหตุที่โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คไม่ชอบอย่างไร คำให้การของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา177 วรรคสอง ไม่ก่อให้เกิดประเด็นพิพาทแห่งคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4686/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้สิทธิผู้ทรงเช็ค: การยกข้อต่อสู้อันอาศัยความสัมพันธ์กับผู้ทรงคนก่อน และความไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.
จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คให้แก่ผู้ถือ โจทก์เป็นผู้รับโอนเช็คพิพาทจึงเป็นผู้ทรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 904 เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยผู้สั่งจ่ายจึงตกเป็นฝ่ายผิดนัดต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 900, 914, 989ประกอบ 224 วรรคแรก
การที่จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริง โจทก์บิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อนำมาฟ้องจำเลย เพราะเช็คพิพาทจำเลยได้สั่งจ่ายให้แก่ผู้มีชื่อไว้เป็นประกันในการกู้ยืมเงิน มีคำสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ตามที่โจทก์อ้าง ความจริงแล้วโจทก์กับผู้มีชื่อที่โจทก์อ้างถึงไม่มีหนี้ต่อกัน โจทก์จึงมิใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบคำให้การของจำเลยเป็นการต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยกับผู้อื่นซึ่งเป็นผู้ทรงคนก่อน ๆ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 916ประกอบ 989 แต่คำให้การของจำเลยมิได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากผู้มีชื่อ ซึ่งเป็นผู้ทรงคนก่อน ๆ ด้วยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยอย่างไร และที่จำเลยให้การว่าโจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบ จำเลยก็มิได้อ้างเหตุที่โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทไม่ชอบอย่างไร คำให้การของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี คดีจึงไม่ต้องสืบพยานของคู่ความ ศาลมีอำนาจวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4657/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือรับรองการค้ำประกันมีผลผูกพันตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ การที่จำเลยที่ 3 ทำหนังสือซึ่งมีข้อความระบุถึงเลขที่ วันออกเช็ค และจำนวนเงินตามเช็คพิพาท และมีข้อความตอนท้ายใจความว่า จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันได้อ่านข้อความเข้าใจดีแล้วจึงลงลายมือชื่อรับรองไว้เป็นหลักฐาน และลงลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันด้วย คำว่า "ค้ำประกัน" มีความหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 680 ว่าอันค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น ดังนั้นเมื่อตามเอกสารดังกล่าวมีข้อความระบุว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน จึงเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทไม่ชำระเงินตามเช็ค จำเลยที่ 3 จะยอมชำระแทน เอกสารดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นสัญญาค้ำประกันตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4657/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันเช็ค: ผู้ค้ำประกันต้องชำระหนี้แทนผู้สั่งจ่ายเช็คเมื่อไม่ชำระหนี้
จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์การที่จำเลยที่ 3 ทำหนังสือซึ่งมีข้อความระบุถึงเลขที่วันออกเช็ค และจำนวนเงินตามเช็คพิพาท และมีข้อความตอนท้ายใจความว่า จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันได้อ่านข้อความเข้าใจดีแล้วจึงลงลายมือชื่อรับรองไว้เป็นหลักฐาน และลงลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันด้วย คำว่า "ค้ำประกัน" มีความหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 ว่าอันค้ำประกันนั้นคือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ค้ำประกันผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น ดังนั้นเมื่อตามเอกสารดังกล่าวมีข้อความระบุว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน จึงเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทไม่ชำระเงินตามเช็ค จำเลยที่ 3 จะยอมชำระแทน เอกสารดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นสัญญาค้ำประกันตามบทกฎหมายดังกล่าว
of 70