พบผลลัพธ์ทั้งหมด 695 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4619/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่มีมูลหนี้จากการหลบหนีของนายวง การรับโอนเช็คโดยคบคิดฉ้อฉล ทำให้ผู้รับโอนไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบ
โจทก์ จำเลย และบุคคลอื่นอีกหลายคนตกลงเล่นแชร์โดยมี ก. เป็นนายวง จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระค่าแชร์โดยระบุชื่อ ก. เป็นผู้รับเงินและขีดคร่อมมอบให้ ก. ต่อมา ก.หลบหนีไป ดังนี้ การที่โจทก์เข้าร่วมประชุมตั้งวงแชร์และตกลงเข้าเป็นมาชิกวงแชร์ด้วย โจทก์จึงอยู่ในฐานะที่ต้องรู้ถึงข้อตกลงในการเล่นแชร์ตลอดทั้งการที่สมาชิกต้องสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าวงแชร์ด้วยเมื่อ ก.หลบหนี เช็คที่สมาชิกสั่งจ่ายชำระค่าวงแชร์จึงเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ การที่โจทก์รับโอนเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเพื่อชำระค่าแชร์มาไว้ในครอบครอง จึงเป็นการรับโอนเช็คด้วยคบคิดกันฉ้อฉล โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4619/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับโอนเช็คที่ไม่มีมูลหนี้จากการเล่นแชร์ วางแผนฉ้อฉล ทำให้ผู้รับโอนไม่มีสิทธิเรียกร้อง
โจทก์ จำเลย และบุคคลอื่นอีกหลายคนตกลงเล่นแชร์โดยมี ก. เป็นนายวง จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระค่าแชร์โดยระบุชื่อ ก. เป็นผู้รับเงินและขีดคร่อมมอบให้ ก.ต่อมา ก.หลบหนีไป ดังนี้ การที่โจทก์เข้าร่วมประชุมตั้งวงแชร์และตกลงเข้าเป็นสมาชิกวงแชร์ด้วย โจทก์จึงอยู่ในฐานะที่ต้องรู้ถึงข้อตกลงในการเล่นแชร์ตลอดทั้งการที่สมาชิกต้องสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าวงแชร์ด้วย เมื่อก. หลบหนี เช็คที่สมาชิกสั่งจ่ายชำระค่าวงแชร์จึงเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ การที่โจทก์รับโอนเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเพื่อชำระค่าแชร์มาไว้ในครอบครอง จึงเป็นการรับโอนเช็คด้วยคบคิดกันฉ้อฉล โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4484/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นสัญญาซื้อขาย: ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 177
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ตามสัญญาและรับชำระเงินจากโจทก์ จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์แกล้งฟ้องคดีนี้เพื่อประวิงการออกไปจากที่-พิพาท และสิ่งปลูกสร้างซึ่งจำเลยได้ใช้สิทธิบังคับคดีให้โจทก์และบริวารออกไปในคดีอื่น การกระทำของโจทก์เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลย ทำให้จำเลยเสียหายขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการตั้งประเด็นว่าการฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการแกล้งฟ้อง และประวิงการบังคับคดีในคดีอื่นที่จำเลยใช้สิทธิบังคับคดีเอาแก่โจทก์ เป็นการละเมิดต่อจำเลยและเรียกค่าเสียหายซึ่งเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องโจทก์ที่ตั้งประเด็นว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อขาย ขอให้บังคับตามสัญญาดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4484/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อประเด็นต่างจากฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ตามสัญญาและรับชำระเงินจากโจทก์จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์แกล้งฟ้องคดีนี้เพื่อประวิงการออกไปจากที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจำเลยได้ใช้สิทธิบังคับคดีให้โจทก์และบริวารออกไปในสำนวนคดีอื่นการกระทำของโจทก์เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลย ทำให้จำเลยเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการตั้งประเด็นว่าการฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นการแกล้งฟ้องและประวิงการบังคับคดีในคดีอื่นที่จำเลยใช้สิทธิบังคับคดีแก่โจทก์ เป็นการละเมิดต่อจำเลยและเรียกค่าเสียหาย ซึ่งเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องโจทก์ที่ตั้งประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขาย ขอให้บังคับตามสัญญาดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมเป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4484/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม ศาลไม่รับพิจารณา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ตามสัญญาและรับชำระเงินจากโจทก์ จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์แกล้งฟ้องคดีนี้เพื่อประวิงการออกไปจากที่พิพาท และสิ่งปลูกสร้างซึ่งจำเลยได้ใช้สิทธิบังคับคดีให้โจทก์และบริวารออกไปในคดีอื่นการกระทำของโจทก์เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลย ทำให้จำเลยเสียหายขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการตั้งประเด็นว่า การฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการแกล้งฟ้อง และประวิงการบังคับคดีในคดีอื่นที่จำเลยใช้สิทธิบังคับคดีเอาแก่โจทก์เป็นการละเมิดต่อจำเลยและเรียกค่าเสียหายซึ่งเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องโจทก์ที่ตั้งประเด็นว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายขอให้บังคับตามสัญญาดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4422/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการใช้คำพิพากษาคดีอาญาในคดีแพ่ง: ต้องมีมูลกรณีเดียวกันและคู่ความเดียวกัน
การที่จะถือเอาข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญามาพิพากษาส่วนแพ่งได้ จะต้องเป็นคดีที่มีมูลกรณีเดียวกันและคู่ความเดียวกันซึ่งในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ คู่ความในคดีส่วนแพ่งก็ต้องเป็นผู้เสียหายอยู่ในคดีนั้นด้วย เมื่อคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์มีข้อหาว่า อง และจำเลยที่ 1 กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติ จราจรทางบกฯ ซึ่งรัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ส่วนข้อหาขับรถด้วยความประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส โจทก์ไม่ใช่ผู้รับบาดเจ็บโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายหรือคู่ความในคดีอาญาและแม้ศาลในคดีส่วนอาญาจะพิพากษาถึงที่สุดลงโทษ อ. และยกฟ้องจำเลยที่ 1แต่ก็ยกฟ้องเพราะพนักงานอัยการโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1ขับรถด้วยความประมาท และมิได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงข้อหานี้ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย ศาลต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์จำเลยที่นำสืบใหม่ในคดีนี้ และฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4096/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำนองเฉพาะส่วนของเจ้าของร่วม: ผู้รับจำนองทราบข้อตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวม การแบ่งแยกไม่ทำให้เสียหาย
การที่ผู้ร้องรับจำนองที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้คัดค้านที่ 2 เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 โดยผู้ร้องทราบถึงข้อตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้คัดค้านที่ 2 กับจำเลยที่ 2 แม้ตามโฉนดที่ดินพิพาทและสัญญาจำนองที่ได้จดทะเบียนไว้จะมิได้แบ่งแยกที่ดินพิพาทออกเป็นส่วนของผู้คัดค้านที่ 2 กับจำเลยที่ 2 ว่ามีอาณาเขตอย่างไร แต่เมื่อขณะทำสัญญาจดทะเบียนจำนอง ผู้ร้องทราบว่าที่ดินพิพาทส่วนของจำเลยที่ 2 อยู่ส่วนใดย่อมแสดงว่าผู้ร้องประสงค์รับจำนองที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 2ในส่วนนั้น การจำนองจึงครอบถึงที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 การที่ผู้คัดค้านที่ 1 อนุญาตให้ผู้คัดค้านที่ 2 นำโฉนดที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ตามบันทึกข้อตกลงจึงไม่เป็นการกระทำให้ผู้ร้องเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3969/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์สัญญาประนีประนอมยอมความต้องมีพยานหลักฐานสนับสนุน หากอ้างฉ้อฉลแต่ไม่นำสืบ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ชอบ
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยอ้างว่าฝ่ายโจทก์ฉ้อฉล ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงในสำนวนยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีตามฎีกาโจทก์ได้จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่จำเลยและโจทก์กล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ แต่จำเลยมิได้นำพยานหลักฐานมาสืบตามที่อ้างไว้ในคำฟ้องอุทธรณ์ กรณีจึงไม่ใช่เรื่องมีการฉ้อฉลตามที่อ้างไม่เข้าเหตุที่จะอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138(1) ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมาจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3969/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์สัญญาประนีประนอมยอมความต้องมีพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างฉ้อฉล หากไม่มีพยาน ศาลไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล ศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวน จำเลยมิได้นำพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นตามที่อ้างไว้ในคำฟ้องอุทธรณ์ จึงมิใช่เรื่องการฉ้อฉลตามที่อ้าง ไม่เข้าเหตุที่จะอุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3911/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำร้ายร่างกายร่วมกัน: ฟ้องระบุรายละเอียดพอสมควรแล้วไม่เคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับพวกฝ่ายหนึ่ง และจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกอีกฝ่ายหนึ่ง ได้สมัครใจทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันใช้มีดปลายแหลมและท่อนไม้เป็นอาวุธแทง ฟันและตีกับใช้กำลังกายชกต่อยเตะทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกหลายครั้งส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกร่วมกันใช้เก้าอี้นั่งและเหล็กแป๊บเป็นอาวุธตี และใช้กำลังกายชกต่อยเตะทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 กับพวกหลายครั้งเช่นกัน ย่อมแสดงว่าจำเลยสองฝ่ายต่างสมัครใจทำร้ายซึ่งกันและกัน ซึ่งแต่ละฝ่ายมีพวกตั้งแต่สองคนขึ้นไป ได้ร่วมกันเป็นตัวการกระทำความผิดในการทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นการบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ที่เกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยแต่ละฝ่ายเข้าใจข้อหาได้ดี ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5) แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม