คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ทองเลื่อน พูลพิพัฒน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 695 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2857/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีล้มละลาย: ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยมูลหนี้ หากจำเลยมีทรัพย์สินเพียงพอ ชำระหนี้ได้
เมื่อจำเลยมิใช่เป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวกรณีก็ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา9ที่โจทก์จะฟ้องขอให้พิพากษาว่าจำเลยเป็นบุคคลล้มละลายได้ศาลหาจำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามมูลหนี้ในฟ้องหรือไม่อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2857/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีล้มละลาย: ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยมูลหนี้ หากจำเลยมีทรัพย์สินเพียงพอ ชำระหนี้ได้
เมื่อจำเลยมิใช่เป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวกรณีก็ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 9 ที่โจทก์จะฟ้องขอให้พิพากษาว่าจำเลยเป็นบุคคลล้มละลายได้ ศาลหาจำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามมูลหนี้ในฟ้องหรือไม่อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2857/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องล้มละลายต้องมีหนี้สินล้นพ้นตัว
เมื่อจำเลยมิใช่เป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว กรณีก็ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 9 ที่โจทก์จะฟ้องขอให้พิพากษาว่าจำเลยเป็นบุคคลล้มละลายได้ ศาลหาจำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามมูลหนี้ในฟ้องหรือไม่อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2776/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล้มละลาย: การยึดทรัพย์สินลูกหนี้ และข้อสันนิษฐานเรื่องหนี้สินล้นพ้นตัว
การที่จำเลยถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดี และจำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้นั้นเข้าข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามมาตรา 8(5) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวที่จำเลยนำสืบว่า ปัจจุบันห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ซึ่งจำเลยค้ำประกันหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ยังประกอบกิจการค้ามีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 40,000,000บาท มาเป็นเหตุผลประกอบพยานหลักฐานอื่นของจำเลยว่าจำเลยอยู่ในฐานะที่สามารถขวนขวายและมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายก็ตาม แต่ที่จำเลยอยู่ในฐานะลูกหนี้ร่วมกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. นั้น โจทก์ก็มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดแก่โจทก์โดยสิ้นเชิงโดยไม่ต้องคำนึงว่าหากลูกหนี้ร่วมคนอื่นชำระหนี้แก่โจทก์ด้วยจะสามารถชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งหมดหรือไม่ เพราะการพิจารณาว่าลูกหนี้ร่วมคนใดมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมแต่ละคน จึงต้องพิจารณาเฉพาะตัวลูกหนี้ร่วมผู้นั้นว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับลูกหนี้ร่วมคนอื่นดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ใช้สิทธิบังคับเอาแก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ก็มิได้เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่ประการใด จึงนำมาเป็นเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหาได้ไม่เมื่อจำเลยได้รับเงินเดือนจากบริษัท 3 แห่ง แห่งละ 6,000 บาท แต่เงินเดือนดังกล่าวก็นำมาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของจำเลยเดือนละ 3,000 บาท ส่วนที่เหลือให้แก่ภริยาและบุตร จึงไม่มีเงินเดือนเหลือชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ ศาลชอบที่จะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2490/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเข้าทำประโยชน์ที่ดินหลวงสุจริต & ค่าเสียหายจากการเช่าละเมิด
จำเลยเข้าทำประโยชน์บนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่หลวงโดยสุจริตและโดยผู้บังคับบัญชาซึ่งครอบครองดูแลที่ดินพิพาทเป็นผู้อนุญาต มิได้จงใจบุกรุกที่ดินพิพาทของโจทก์ การเข้าทำประโยชน์บนที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นละเมิด
จำเลยนำที่ดินพิพาทของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นเช่าโดยละเมิดเป็นการแสวงหาประโยชน์จากการให้เช่าที่ดินพิพาท ดังนั้นค่าเช่าที่ดินจึงเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการกระทำละเมิด ส่วนค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่ามิใช่ค่าเสียหายโดยตรง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2155/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล, เอกสารต่างประเทศ, การระบุพยาน: หลักเกณฑ์การรับคำฟ้องและพยานหลักฐานในคดีแพ่ง
ที่จำเลยฎีกาว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นนั้นเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้มิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จำเลยที่1ก็ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคสอง แม้ปรากฏจากคำฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสามมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดชลบุรีซึ่งอยู่นอกเขตอำนาจศาลชั้นต้นคือศาลแพ่งกรุงเทพใต้ก็ตามแต่ตามฟ้องของโจทก์ระบุว่าโจทก์มีภูมิลำเนาในเขตศาลแพ่งกรุงเทพใต้และตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ความด้วยว่าจำเลยทั้งสามโอนเงินมัดจำและชำระค่าซื้อสินค้าบางส่วนให้โจทก์โดยผ่านบัญชีของกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ดังนี้ต้องถือว่ามูลคดีคือเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้มีอำนาจฟ้องเกิดขึ้นในเขตศาลแพ่งกรุงเทพใต้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา2(2)(1)โจทก์จึงมีอำนาจเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เอกสารที่ทำขึ้นเป็นภาษาต่างประเทศคู่ความส่งต่อศาลได้โดยไม่จำต้องทำคำแปลเป็นภาษาไทยยื่นต่อศาลเสมอไปนอกจากศาลสั่งให้ทำคำแปลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา46วรรคสามเมื่อศาลไม่ได้สั่งให้โจทก์ทั้งสองทำคำแปลศาลก็รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองได้ แม้ตามบัญชีระบุพยานของโจทก์มีชื่อโจทก์ที่1ในบัญชีระบุพยานโดยไม่มีชื่อโจทก์ที่2ในบัญชีระบุพยานด้วยก็ตามแต่เมื่อบัญชีระบุพยานของโจทก์ได้ระบุชื่อโจทก์ที่1เป็นผู้ระบุพยานและมีเครื่องหมายไปยาลน้อยซึ่งเป็นเครื่องหมายละคำที่เป็นที่รู้กันและทนายโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลคนเดียวกันลงชื่อเป็นผู้ระบุพยานดังนี้โจทก์ทั้งสองได้ระบุพยานโดยชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2155/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล, มูลคดี, เอกสารต่างประเทศ, การระบุพยาน: ข้อวินิจฉัยสำคัญในคดีแพ่ง
ที่จำเลยฎีกาว่า คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นนั้น เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้มิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ก็ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคสอง
แม้ปรากฏจากคำฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสามมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่นอกเขตอำนาจศาลชั้นต้นคือศาลแพ่งกรุงเทพใต้ก็ตาม แต่ตามฟ้องของโจทก์ระบุว่าโจทก์มีภูมิลำเนาในเขตศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ความด้วยว่า จำเลยทั้งสามโอนเงินมัดจำและชำระค่าซื้อสินค้าบางส่วนให้โจทก์ โดยผ่านบัญชีของกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ดังนี้ ต้องถือว่ามูลคดีคือเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้มีอำนาจฟ้องเกิดขึ้นในเขตศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 2 (2), 4 (1) โจทก์จึงมีอำนาจเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้
เอกสารที่ทำขึ้นเป็นภาษาต่างประเทศ คู่ความส่งต่อศาลได้โดยไม่จำต้องทำคำแปลเป็นภาษาไทยยื่นต่อศาลเสมอไป นอกจากศาลสั่งให้ทำคำแปลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 46 วรรคสาม เมื่อศาลไม่ได้สั่งให้โจทก์ทั้งสองทำคำแปลศาลก็รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองได้
แม้ตามบัญชีระบุพยานของโจทก์มีชื่อโจทก์ที่ 1 ในบัญชีระบุพยาน โดยไม่มีชื่อโจทก์ที่ 2 ในบัญชีระบุพยานด้วยก็ตาม แต่เมื่อบัญชีระบุพยานของโจทก์ได้ระบุชื่อโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ระบุพยาน และมีเครื่องหมายไปยาลน้อยซึ่งเป็นเครื่องหมายละคำที่เป็นที่รู้กัน และทนายโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลคนเดียวกันลงชื่อเป็นผู้ระบุพยาน ดังนี้ โจทก์ทั้งสองได้ระบุพยานโดยชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2155/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล, มูลคดี, พยานหลักฐานภาษาต่างประเทศ, การระบุพยาน: ประเด็นสำคัญในการพิจารณาคดีแพ่ง
ที่จำเลยฎีกาว่า คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นนั้น เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้มิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ก็ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคสอง แม้ปรากฏจากคำฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสามมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่นอกเขตอำนาจศาลชั้นต้นคือศาลแพ่งกรุงเทพใต้ก็ตาม แต่ตามฟ้องของโจทก์ระบุว่าโจทก์มีภูมิลำเนาในเขตศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ความด้วยว่าจำเลยทั้งสามโอนเงินมัดจำและชำระค่าซื้อสินค้าบางส่วนให้โจทก์ โดยผ่านบัญชีของกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ดังนี้ ต้องถือว่ามูลคดีคือเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้มีอำนาจฟ้องเกิดขึ้นในเขตศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2(2)(1) โจทก์จึงมีอำนาจเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เอกสารที่ทำขึ้นเป็นภาษาต่างประเทศ คู่ความส่งต่อศาลได้โดยไม่จำต้องทำคำแปลเป็นภาษาไทยยื่นต่อศาลเสมอไป นอกจากศาลสั่งให้ทำคำแปลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 46 วรรคสามเมื่อศาลไม่ได้สั่งให้โจทก์ทั้งสองทำคำแปลศาลก็รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองได้ แม้ตามบัญชีระบุพยานของโจทก์มีชื่อโจทก์ที่ 1 ในบัญชีระบุพยาน โดยไม่มีชื่อโจทก์ที่ 2 ในบัญชีระบุพยานด้วยก็ตาม แต่เมื่อบัญชีระบุพยานของโจทก์ได้ระบุชื่อโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ระบุพยานและมีเครื่องหมายไปยาลน้อยซึ่งเป็นเครื่องหมายละคำที่เป็นที่รู้กันและทนายโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลคนเดียวกันลงชื่อเป็นผู้ระบุพยานดังนี้ โจทก์ทั้งสองได้ระบุพยานโดยชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2010/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเชิดตัวแทนจำลองและการผูกพันตามสัญญาซื้อขายที่ดิน แม้ไม่มีหนังสือมอบอำนาจ
ในระหว่างที่จำเลยที่2กำลังก่อสร้างทาวน์เฮาส์จำเลยที่1ได้ไปตั้งสำนักงานติดต่อซื้อขายทาวน์เฮาส์ของจำเลยที่2โดยใช้ชื่อโครงการซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับชื่อร้านอาหารของจำเลยที่2จำเลยที่1ได้เช่าบริเวณหน้าบ้านของท. ซึ่งอยู่คนละฟากถนนตรงกันข้ามกับสถานที่ก่อสร้างเป็นสำนักงานขายชั่วคราวมีพนักงาน2คนคอยให้บริการมีแผ่นใบปลิวโฆษณาแบบบ้านและราคาบ้านจำเลยที่1ยังปิดประกาศขายทาวน์เฮาส์ตลอดแนวถนนที่จะเข้ามายังบริเวณก่อสร้างจำเลยที่2ขับรถไปจอดที่บริเวณก่อสร้างและพูดสั่งงานแก่คนงานก่อสร้างและพนักงานของจำเลยที่1พาลูกค้าไปพูดคุยกับจำเลยที่2ที่บริเวณก่อสร้างภริยาจำเลยที่2ได้ถ่ายเอกสารโฉนดที่ดินของจำเลยที่2ให้จำเลยที่1และจำเลยที่1ได้นำภาพถ่ายโฉนดที่ดินดังกล่าวแสดงให้ผู้ที่มาติดต่อขอซื้อทราบว่าที่ดินที่ก่อสร้างเป็นของจำเลยที่2และจำเลยที่2ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างทาวน์เฮาส์โดยถูกต้องตามกฎหมายทั้งจำเลยที่1ยังมีหนังสือสัญญายินยอมซึ่งจำเลยที่2ตกลงมอบอำนาจให้จำเลยที่1เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและทำการขายทาวน์เฮาส์ที่กำลังก่อสร้างบนที่ดินของจำเลยที่2การติดต่อซื้อขายระหว่างจำเลยที่1กับโจทก์และบุคคลอื่นทั่วๆไปก็กระทำกันอย่างเปิดเผยการกระทำของจำเลยที่1ดังกล่าวจำเลยที่2รู้เห็นตลอดมาแต่มิได้ห้ามปรามตามพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่2เชิดจำเลยที่1ออกแสดงเป็นตัวแทนหรือรู้แล้วยอมให้จำเลยที่1เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่2ในการขายที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์พิพาทซึ่งรวมทั้งการก*ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์และรับเงินมัดจำด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา821 การเป็นตัวแทนเชิดดังกล่าวหาใช่เป็นเรื่องการตั้งตัวแทนตามปกติแต่อย่างใดไม่จึงไม่จำต้องมีหนังสือมอบอำนาจให้กระทำการแทน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2010/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเชิดตัวเป็นตัวแทนซื้อขายที่ดิน: การกระทำที่แสดงเจตนาให้ผู้อื่นทำแทนและยอมรับนิติสัมพันธ์นั้น
ในระหว่างที่จำเลยที่ 2 กำลังก่อสร้างทาวน์เฮาส์ จำเลยที่ 1ได้ไปตั้งสำนักงานติดต่อซื้อขายทาวน์เฮาส์ของจำเลยที่ 2 โดยใช้ชื่อโครงการซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับชื่อร้านอาหารของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ได้เช่าบริเวณหน้าบ้านของท.ซึ่งอยู่คนละฟากถนนตรงกันข้ามกับสถานที่ก่อสร้างเป็นสำนักงานขายชั่วคราว มีพนักงาน 2 คน คอยให้บริการ มีแผ่นใบปลิวโฆษณาแบบบ้านและราคาบ้าน จำเลยที่ 1ยังปิดประกาศขายทาวน์เฮาส์ตลอดแนวถนนที่จะเข้ามายังบริเวณก่อสร้าง จำเลยที่ 2ขับรถไปจอดที่บริเวณก่อสร้างและพูดสั่งงานแก่คนงานก่อสร้าง และพนักงานของจำเลยที่ 1 พาลูกค้าไปพูดคุยกับจำเลยที่ 2 ที่บริเวณก่อสร้าง ภริยาจำเลยที่ 2 ได้ถ่ายเอกสารโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้นำภาพถ่ายโฉนดที่ดินดังกล่าวแสดงให้ผู้ที่มาติดต่อขอซื้อทราบว่าที่ดินที่ก่อสร้างเป็นของจำเลยที่ 2และจำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างทาวน์เฮาส์โดยถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งจำเลยที่ 1 ยังมีหนังสือสัญญายินยอมซึ่งจำเลยที่ 2 ตกลงมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและทำการขายทาวน์เฮาส์ที่กำลังก่อสร้างบนที่ดินของจำเลยที่ 2การติดต่อซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์และบุคคลอื่นทั่ว ๆ ไป ก็กระทำกันอย่างเปิดเผย การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว จำเลยที่ 2 รู้เห็นตลอดมาแต่มิได้ห้ามปราม ตามพฤติการณ์ดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เชิดจำเลยที่ 1 ออกแสดงเป็นตัวแทนหรือรู้แล้วยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการขายที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์พิพาท ซึ่งรวมทั้งการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ และรับเงินมัดจำด้วย ตาม ป.พ.พ.มาตรา 821
การเป็นตัวแทนเชิดดังกล่าวหาใช่เป็นเรื่องการตั้งตัวแทนตามปกติแต่อย่างใดไม่ จึงไม่จำต้องมีหนังสือมอบอำนาจให้กระทำการแทน
of 70