พบผลลัพธ์ทั้งหมด 56 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1183/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมและการใช้ดุลพินิจศาลในการรับฟังพยานหลักฐาน
โจทก์ทั้งสามยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกก่อนวันสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนไม่น้อยกว่า 3 วันแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคหนึ่ง ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะฟ้องคดีนี้ โจทก์ทั้งสามชอบที่จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมก่อนเสร็จการสืบพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ได้เสมอตามมาตรา 88 วรรคสอง ศาลชั้นต้นจะใช้ดุลพินิจไม่รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมซึ่งยื่นภายในกำหนดเวลาดังกล่าวไม่ได้ บทบัญญัติมาตรา 86 วรรคหนึ่ง ที่ให้ศาลปฏิเสธไม่ยอมรับพยานหลักฐานที่รับฟังไม่ได้หรือที่รับฟังได้แต่ได้ยื่นฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นคนละกรณีกับการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสาม ส่วนบทบัญญัติมาตรา 86 วรรคสองที่ให้ศาลมีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานที่ศาลเห็นว่าฟุ่มเฟือยเกินสมควรหรือประวิงให้ชักช้าหรือไม่เกี่ยวกับประเด็น เป็นขั้นตอนภายหลังที่คู่ความได้ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเช่นว่านั้นโดยชอบแล้ว จึงเป็นคนละกรณีกับการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสามอีกเช่นกัน และเมื่อศาลชั้นต้นยังไม่ได้สั่งรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสาม ก็ไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะก้าวล่วงไปวินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์ทั้งสามมีพฤติการณ์ประวิงคดีให้ชักช้าหรือไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ทั้งสามระบุพยานเพิ่มเติมและให้รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสาม กับให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ทั้งสามจนแล้วเสร็จต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตอนต้นยังไม่ถูกต้องเพราะเมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสามแล้ว ศาลชั้นต้นยังมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจสั่งงดการสืบพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามที่เห็นว่าเป็นพยานหลักฐานที่ฟุ่มเฟือยเกินสมควรหรือประวิงให้ชักช้าหรือไม่เกี่ยวกับประเด็นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง และถ้ามีการสืบพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามต่อไป ก็ต้องให้โอกาสจำเลยนำพยานหลักฐานเข้าสืบแก้ได้ด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาในคำพิพากษาฉบับแรกให้ยกคำพิพากษาและคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ทั้งสามระบุพยานเพิ่มเติมและให้รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสามแล้วคดีในส่วนที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาฉบับหลังก็ต้องมีการรับฟังพยานหลักฐานใหม่ตามที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยนำสืบเพิ่มเติมต่อไปด้วยเพราะคดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับหลังที่ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1152/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทะเลาะวิวาทและการใช้มีดทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ผู้กระทำไม่อาจอ้างป้องกันตัวได้
จำเลยกับผู้ตายทะเลาะและชกต่อยกัน เมื่อ ด. ห้ามจำเลยกับผู้ตายให้เลิกทะเลาะและชกต่อยกันแล้ว จำเลยออกไปเอามีดปลายแหลมที่บ้าน แล้วกลับไปร้องถามผู้ตายว่าทำไมทำกับจำเลยอย่างนี้อันเป็นการท้าทายผู้ตาย พฤติการณ์ของจำเลยเช่นนี้แสดงว่าจำเลยยังคงสมัครใจทะเลาะวิวาทกับผู้ตายอีก จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาการป้องกันตัวขึ้นอ้างได้ อาวุธมีดปลายแหลมที่จำเลยใช้แทงผู้ตายมีตัวมีดยาวถึง 7นิ้วฟุต ใบมีดกว้าง 1 นิ้วฟุต และแทงถูกบริเวณเหนือไหปลาร้าด้านซ้ายอันเป็นอวัยวะส่วนสำคัญผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเสียเลือดมากแม้จำเลยจะแทงผู้ตายเพียงครั้งเดียว จำเลยก็ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้ว่าอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1039/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีการค้าก่อนกำหนดเวลายื่นรายการขัดต่อมาตรา 18 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีก่อนถึงกำหนดเวลายื่นรายการ และภาษีที่ประเมินเรียกเก็บดังกล่าวถือเป็นเครดิตของผู้ต้องเสียภาษีในการคำนวณภาษีตามมาตรา 18 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับภาษีการค้า ผู้ประกอบการค้ามีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการค้าพร้อมชำระภาษีการค้าเป็นรายเดือนภาษีภายในวันที่ 15ของเดือนถัดไป ตามมาตรา 17 วรรคแรก,84,85 ทวิ และ 86 แห่งประมวลรัษฎากร เว้นแต่อธิบดี หรือรัฐมนตรีเห็นสมควรให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการออกไปอีกตามมาตรา 3 อัฏฐ เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ปี พ.ศ. 2527 และ พ.ศ. 2528มีการประกาศให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการการค้าออกไป กำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการการค้าในเดือนใดของปี พ.ศ. 2527และ พ.ศ. 2528 จึงถึงกำหนดเวลายื่นรายการภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าจะมีรายรับเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม กำหนดเวลายื่นรายการการค้าสำหรับเดือนภาษีในปี พ.ศ. 2527 และ 2528 นั้น จึงถึงกำหนดแล้วก่อนการประเมิน กำหนดเวลายื่นรายการหาได้ขยายมาจนถึงปีพ.ศ. 2531 ไม่ การที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าโจทก์จากดอกเบี้ยค้างรับเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2531โดยประเมินเป็นภาษีการค้าสำหรับเดือนมกราคม 2527 ถึงเดือนธันวาคม2528 จึงเป็นการประเมินหลังจากพ้นกำหนดเวลายื่นรายการการค้าสำหรับเดือนภาษีในปี พ.ศ. 2527 และ 2528 ไปแล้ว และเป็นการประเมินย้อนหลัง มิใช่ประเมินล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดเวลายื่นรายการ จึงเป็นการประเมินที่ขัดต่อมาตรา 18 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำสั่งศาลกรณีครอบครองปรปักษ์: การที่โจทก์ไม่ทราบเรื่องและไม่ได้คัดค้านทำให้คำสั่งศาลไม่ผูกพัน
แม้จำเลยจะมิได้ให้การเรื่องอำนาจฟ้องไว้โดยชัดแจ้ง แต่จำเลยก็ได้ให้การและอุทธรณ์ต่อมาถึงการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอีกคดีหนึ่งว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ไว้แล้ว ทั้งอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยจึงฎีกาในปัญหานี้ได้
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคดีก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น แม้โจทก์ทั้งหกในคดีนี้จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่ถ้าโจทก์ทั้งหกทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์แล้ว โจทก์ทั้งหกไม่โต้แย้งคัดค้านภายในเวลาที่ศาลกำหนด โจทก์ทั้งหกก็ย่อมหมดสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านอีกต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งหกไม่ทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอและการดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีดังกล่าวจึงถือว่าโจทก์ทั้งหกเป็นบุคคลภายนอกคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนไม่ผูกพันโจทก์ทั้งหก
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเพียงผู้อาศัยในที่ดินพิพาท จำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยนี้ ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ที่จำเลยฎีกาว่า ขอถือเอาอุทธรณ์ของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาด้วยนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคดีก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น แม้โจทก์ทั้งหกในคดีนี้จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่ถ้าโจทก์ทั้งหกทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์แล้ว โจทก์ทั้งหกไม่โต้แย้งคัดค้านภายในเวลาที่ศาลกำหนด โจทก์ทั้งหกก็ย่อมหมดสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านอีกต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งหกไม่ทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอและการดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีดังกล่าวจึงถือว่าโจทก์ทั้งหกเป็นบุคคลภายนอกคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนไม่ผูกพันโจทก์ทั้งหก
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเพียงผู้อาศัยในที่ดินพิพาท จำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยนี้ ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ที่จำเลยฎีกาว่า ขอถือเอาอุทธรณ์ของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาด้วยนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ & อำนาจฟ้อง: ผลผูกพันคู่ความที่ไม่เข้าร่วมคดีก่อน, สิทธิในที่ดิน
แม้จำเลยจะมิได้ให้การเรื่องอำนาจฟ้องไว้โดยชัดแจ้ง แต่จำเลยก็ได้ให้การและอุทธรณ์ต่อมาถึงการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอีกคดีหนึ่งว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ไว้แล้ว ทั้งอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงฎีกาในปัญหานี้ได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคดีก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น แม้โจทก์ทั้งหกในคดีนี้จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่ถ้าโจทก์ทั้งหกทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์แล้ว โจทก์ทั้งหกไม่โต้แย้งคัดค้านภายในเวลาที่ศาลกำหนด โจทก์ทั้งหกก็ย่อมหมดสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านอีกต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งหกไม่ทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอและการดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีดังกล่าวจึงถือว่าโจทก์ทั้งหกเป็นบุคคลภายนอก คำสั่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนไม่ผูกพันโจทก์ทั้งหก ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเพียงผู้อาศัยในที่ดินพิพาทจำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยนี้ ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ที่จำเลยฎีกาว่า ขอถือเอาอุทธรณ์ของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาด้วยนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 911/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันครอบครองฝิ่นเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานเชื่อถือได้, คำรับสารภาพเป็นประโยชน์, ลดโทษตามกฎหมาย
พยานโจทก์ทั้งสามปากซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้ตรวจค้นจับกุมและสอบสวนจำเลยทั้งสาม ไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 มาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 2 ทั้งในตอนตรวจค้นและแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสามก็ได้กระทำต่อหน้าเจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่ประกอบกับในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ซึ่งให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 3 ซึ่งให้การปฏิเสธได้ให้การไว้อย่างไรผู้ทำบันทึกการจับกุมและผู้ทำบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนก็บันทึกคำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไว้ตามคำให้การอย่างนั้น ซึ่งสอดคล้องและเชื่อมโยงกับบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เชื่อว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนตามบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนดังที่พยานโจทก์เบิกความจริง ข้อนำสืบของจำเลยที่ 2ที่ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อในกระดาษหลายแผ่นโดยไม่อ่านข้อความให้ฟัง และไม่ได้ให้จำเลยที่ 2 อ่านเองนั้น คงมีแต่คำเบิกความของจำเลยที่ 2 อ้างตนเองเป็นพยานลอย ๆ ไม่น่าเชื่อพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจค้นพบฝิ่นของกลางจากรถยนต์ปิกอัพที่จำเลยที่ 2 โดยสารมาพร้อมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 และจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 มีฝิ่นของกลางไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้องโจทก์จริง คำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนมีประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นอย่างมาก สมควรลดโทษให้แก่จำเลยที่ 2หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผลิตสินค้าทางภาษี: การใช้ลวดทำลวดเสียบกระดาษถือเป็นการผลิตสินค้าและเป็นของใช้ที่ต้องเสียภาษี
การที่จะถือว่าผู้ใดเป็นผู้ผลิตตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 77นั้น นอกจากจะหมายถึงว่า ผู้นั้น ทำการเกษตร หรือขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติ ประกอบแปรรูป แปรสภาพสินค้า แล้วยังให้รวมถึงการที่ผู้ใดทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีขึ้นซึ่งสินค้าไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ด้วย ซึ่งการกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีขึ้นซึ่งสินค้าดังกล่าวนั้น มีความหมายว่าทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดสินค้าใหม่ขึ้นมา ซึ่งอาจใช้วัตถุดิบของสินค้าเดิมมาทำเป็นสินค้าใหม่โดยไม่แปรเปลี่ยนสภาพของสินค้าเดิมก็ได้และไม่จำต้องคำนึงว่าสินค้าใหม่นั้นอาจแปรเปลี่ยนกลับคืนมาเป็นสินค้าเดิมได้หรือไม่ ดังนั้น การที่โจทก์ใช้ลวดซึ่งเป็นสินค้าเดิมที่โจทก์ซื้อมาเข้าเครื่องปั๊มออกมาเป็นลวดเสียบกระดาษซึ่งเป็นสินค้าใหม่โดยลวดซึ่งเป็นวัตถุดิบนั้นยังมีสภาพเป็นลวดเช่นเดิมอยู่ เพียงแต่ใช้เครื่องปั๊มตัดและดัดงอให้อยู่ในสภาพเป็นของใช้เสียบกระดาษตามที่โจทก์ต้องการแล้วนำสินค้าลวดเสียบกระดาษนั้นไปจำหน่ายทั่วไปถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ผลิตสินค้าลวดเสียบกระดาษตาม มาตรา 77 ตามบัญชีที่ 1 หมวดที่ 9 ได้กำหนดลักษณะของสินค้าอื่น ๆ ไว้ว่า"เครื่องมือ เครื่องใช้...ของใช้ใด ๆ ทั้งนี้เฉพาะที่ผลิตจาก...โลหะหรือโลหะเคลือบอย่างใดอย่างหนึ่ง..." และคำว่า "ของใช้"นั้น ประมวลรัษฎากรไม่ได้วิเคราะห์ศัพท์ไว้ แต่ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายคำว่าของใช้ไว้ว่า"ของสำหรับใช้" ซึ่งเป็นที่เข้าใจของคนทั่ว ๆ ไปว่า ของใช้ที่ว่านี้ประชาชนทั่วไปที่มีของนั้นอยู่สามารถนำของนั้นไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีโดยลำพัง ไม่ต้องนำไปประกอบกับสิ่งของอื่นเสียก่อนจึงจะนำไปใช้ได้ สำหรับลวดเสียบกระดาษรายนี้ ผู้ใดมีอยู่ในความครอบครองย่อมสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีโดยลำพัง จึงเป็นของใช้ตามบัญชีที่ 1 ดังกล่าว เมื่อได้ความว่าลวดเสียบกระดาษนี้ผลิตจากโลหะเคลือบจึงเป็นของใช้ผลิตจากโลหะเคลือบอันเข้าลักษณะสินค้าอื่น ๆ ในหมวด 9 บัญชีที่ 1 ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 54)พ.ศ. 2517 แต่โจทก์ผลิตขายในราชอาณาจักร จึงต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 9 ของรายรับ คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้ผลิตลวดเสียบกระดาษหรือไม่และลวดเสียบกระดาษเป็นของใช้หรือไม่ เมื่อตามคำฟ้องและคำให้การฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ผลิตสินค้าลวดเสียบกระดาษ และคำฟ้องโจทก์กับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญได้ความว่า ลวดเสียบกระดาษรายนี้เป็นของใช้ที่ผลิตจากโลหะเคลือบ เช่นนี้ ข้อเท็จจริงย่อมเพียงพอที่ศาลจะพิพากษาได้แล้ว แม้จะทำการสืบพยานคู่ความต่อไปก็ไม่อาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นเปลี่ยนแปลงไป คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะทำการสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป ศาลภาษีอากรกลางชอบที่จะสั่งงดสืบพยานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผลิตสินค้าทางภาษีอากร: การแปรรูปลวดเป็นลวดเสียบกระดาษถือเป็นการผลิตและต้องเสียภาษี
ผู้ผลิตตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 77 นั้น รวมถึงการที่ผู้ใดทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีขึ้นซึ่งสินค้าไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ด้วยซึ่งอาจใช้วัตถุดิบของสินค้าเดิมมาทำเป็นสินค้าใหม่โดยไม่แปรเปลี่ยนสภาพของสินค้าเดิมก็ได้ และไม่จำต้องคำนึงว่าสินค้าใหม่นั้นอาจแปรเปลี่ยนกลับคืนมาเป็นสินค้าเดิมได้หรือไม่ การที่โจทก์ใช้ลวดซึ่งเป็นสินค้าเดิมที่โจทก์ซื้อมาเข้าเครื่องปั๊มออกมาเป็นลวดเสียบกระดาษซึ่งเป็นสินค้าใหม่ โดยลวดซึ่งเป็นวัตถุดิบนั้นยังมีสภาพเป็นลวดเช่นเดิมอยู่เพียงแต่ใช้เครื่องปั๊มตัดและดัดงอให้อยู่ในสภาพเป็นของใช้เสียบกระดาษแล้วนำไปจำหน่าย ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ผลิตสินค้าลวดเสียบกระดาษ คำว่า "ของใช้" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525หมายถึง "ของสำหรับใช้" เป็นที่เข้าใจของคนทั่ว ๆ ไปว่าประชาชนทั่วไปที่มีของนั้นอยู่สามารถนำของนั้นไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีโดยลำพังไม่ต้องนำไปประกอบกับของสิ่งอื่นเสียก่อน ลวดเสียบกระดาษที่พิพาทผู้ใดมีอยู่ในความครอบครองสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีโดยลำพัง จึงเป็นของใช้ตามบัญชี 1 หมวดที่ 9 ท้ายพระราชกฤษฎีกา ออกตามความใน ประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517 ลวดเสียบกระดาษผลิตจากโลหะเคลือบจึงเป็นของใช้ผลิตจากโลหะเคลือบอันเข้าลักษณะสินค้าอื่น ๆ ในหมวด 9 บัญชีที่ 1 ท้าย พระราชกฤษฎีกา ดังกล่าวแต่โจทก์ผลิตขายในราชอาณาจักร จึงต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ9 ของรายรับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 815/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีการค้าก่อนกำหนดเวลาตามกฎหมาย และการประเมินย้อนหลังขัดต่อมาตรา 18 ทวิ
ผู้ประกอบการค้าต้องยื่นแบบแสดงรายการการค้าทุกเดือนภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนภาษี ไม่ว่าจะมีรายรับที่จะต้องเสียภาษีหรือไม่และกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการจะเปลี่ยนแปลงไปได้เฉพาะอธิบดีจำเลยหรือรัฐมนตรีเห็นสมควรให้ขยายหรือเลื่อนเมื่อไม่ปรากฏว่ารอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2527 และ 2528 ได้มีการประกาศให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาออกไปกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการการค้าสำหรับเดือนภาษีในปีดังกล่าว จึงหาได้ขยายมาจนถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2531 อันเป็นวันที่เจ้าพนักงานของจำเลยประเมินภาษีการค้าสำหรับปีดังกล่าวไม่ การประเมินของเจ้าพนักงานจำเลยจึงเป็นการประเมินย้อนหลัง มิใช่ประเมินล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดเวลายื่นรายการตามประมวลรัษฎากรมาตรา 18 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 714/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากประเด็นข้อเท็จจริงใหม่ที่ทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง
โจทก์ฎีกาว่าสำหรับหวายของกลางน่าเชื่อว่าไม่ใช่ ของจำเลยแต่เป็นของคนอื่นเมื่อถูกยึดแล้ว จำเลยอาสานำใบอนุญาตไปสวมกับของกลางโดยมีผู้อื่นขอร้องถ้าข้อเท็จจริงเป็นอย่างที่โจทก์ฎีกาก็เท่ากับโจทก์ฎีกาว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยเพียงแต่อาสาผู้อื่นนำเอาใบอนุญาตของ จำเลยไปอ้างต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าหวายของกลาง เป็นของจำเลยเท่านั้น ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15จึงไม่รับวินิจฉัย