คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ณรงค์ ตันติเตมิท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 789 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6938/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เอกสารไม่ติดอากรแสตมป์แต่ปิดหลังฟ้อง ไม่กระทบการใช้เป็นพยานหลักฐาน ศาลรับฟังได้
เอกสารซึ่งมิได้ปิดอากรแสตมป์มาแต่ต้น เมื่อต่อมาได้ปิดให้ถูกต้องก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา ก็ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้โดยไม่จำต้องเสียอากรเพิ่มก่อน เพราะตามมาตรา 118 แห่งประมวลรัษฎากรตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับคู่ฉบับ คู่ฉีกหรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการเสื่อมสิทธิที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรตามมาตรา 113 และมาตรา 114 ฉะนั้น การที่จะต้องรับผิดเสียอากรเพิ่มขึ้นจึงเป็นส่วนหนึ่งต่างหากไม่กระทบกระทั่งถึงการที่จะรับฟังตราสารนั้นแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6938/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เอกสารไม่ติดอากรแสตมป์ ใช้เป็นหลักฐานได้หากปิดหลังแต่ก่อนพิพากษา ไม่ต้องเสียอากรเพิ่ม
เอกสารซึ่งมิได้ปิดอากรแสตมป์มาแต่ต้น เมื่อต่อมาได้ปิดให้ถูกต้องก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา ก็ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้โดยไม่จำต้องเสียอากรเพิ่มก่อน เพราะตามมาตรา 118 แห่ง ป.รัษฎากรตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีกหรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการเสื่อมสิทธิที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรตามมาตรา 113และมาตรา 114 ฉะนั้น การที่จะต้องรับผิดเสียอากรเพิ่มขึ้นจึงเป็นส่วนหนึ่งต่างหากไม่กระทบกระทั่งถึงการที่จะรับฟังตราสารนั้นแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6857/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีเช่าซื้อรถยนต์: ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาททำให้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง และประเด็นการชำระค่าเช่าซื้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้
คดีที่โจทก์จำเลยที่1และที่2โต้เถียงกันว่าจำเลยที่1และที่2ได้โอนสิทธิการเช่าซื้อให้แก่โจทก์หรือไม่และโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วหรือไม่หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทส่วนคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้จำเลยร่วมกันโอนใส่ชื่อโจทก์ในสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์พิพาทนั้นเป็นเพียงผลจากการที่ศาลได้พิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทนั่นเองจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์อันได้แก่ราคารถยนต์นั่นเองซึ่งไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง การที่จำเลยที่1และที่2ให้การต่อสู้ว่าไม่เคยโอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์โจทก์ชำระเงินให้จำเลยเป็นค่าเช่ารถยนต์และชำระหนี้มิใช่ค่าเช่าซื้อนั้นก็เท่ากับปฏิเสธอยู่ในตัวว่าโจทก์ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาทและศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยที่1และที่2ครบถ้วนแล้วหรือไม่จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วนและยกขึ้นเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่1ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6857/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทการเช่าซื้อรถยนต์: การชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนและการโอนกรรมสิทธิ์
คดีที่โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 โต้เถียงกันว่า จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้โอนสิทธิการเช่าซื้อให้แก่โจทก์หรือไม่ และโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วหรือไม่ หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาท ส่วนคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้จำเลยร่วมกันโอนใส่ชื่อโจทก์ในสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์พิพาทนั้นเป็นเพียงผลจากการที่ศาลได้พิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทนั่นเอง จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ อันได้แก่ราคารถยนต์นั่นเอง ซึ่งไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248วรรคหนึ่ง
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าไม่เคยโอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ชำระเงินให้จำเลยเป็นค่าเช่ารถยนต์และชำระหนี้มิใช่ค่าเช่าซื้อนั้นก็เท่ากับปฏิเสธอยู่ในตัวว่าโจทก์ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาท และศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ครบถ้วนแล้วหรือไม่ จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วน และยกขึ้นเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6606/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการยื่นคำร้องขอให้งดบังคับคดี: ผู้มีส่วนได้เสียต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ถูกบังคับคดีโดยตรง
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 128 ของจำเลยที่จดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาด การที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 57274 ซึ่งเดิมคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์แปลงดังกล่าวที่โจทก์นำยึดไว้ และศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ประกาศขายทอดตลาดใหม่ผู้ร้องได้ฟ้องกรมบังคับคดี โจทก์และจำเลยในคดีนี้ ตลอดจนผู้มีชื่อทางทะเบียนก่อนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเป็นอีกคดีหนึ่งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวนั้น ถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีนี้ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ.มาตรา 280 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งงดการบังคับคดีไว้ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6606/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการยื่นคำร้องขอให้งดบังคับคดี: ผู้มีส่วนได้เสียต้องเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการบังคับคดี
โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 128 ของจำเลยที่ 1 ที่จดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาด ผู้ร้องทั้งสี่อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 57274 ซึ่งเดิมคือที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 128และได้ฟ้องกรมบังคับคดี โจทก์และจำเลยที่ 1 ตลอดจนผู้มีชื่อทางทะเบียนก่อนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสี่เป็นอีกคดีหนึ่งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าผู้ร้องทั้งสี่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งงดการบังคับคดีไว้ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6606/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการยื่นคำร้องงดบังคับคดี: ผู้ร้องต้องมีส่วนได้เสียโดยตรงในการบังคับคดีเท่านั้น
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3)เลขที่128ของจำเลยที่จดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาดการที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่57274ซึ่งเดิมคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์แปลงดังกล่าวที่โจทก์นำยึดไว้และศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ประกาศขายทอดตลาดใหม่ผู้ร้องได้ฟ้องกรมบังคับคดีโจทก์และจำเลยในคดีนี้ตลอดจนผู้มีชื่อทางทะเบียนก่อนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเป็นอีกคดีหนึ่งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีนี้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา280ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งงดการบังคับคดีได้ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6559/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โมฆะเนื่องจากสำคัญผิดในนิติกรรมจากเอกสารปลอม
โจทก์เพียงแต่ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจในช่องผู้มอบอำนาจเพียงชื่อเดียว โดยมิได้กรอกข้อความหรือยินยอมให้ผู้อื่นกรอกข้อความใด ๆ ลงไปเมื่อมีการกรอกข้อความโดยที่มิได้รับความยินยอมจากโจทก์ จึงเป็นการปลอมเอกสารหนังสือมอบอำนาจและหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินซึ่งทำขึ้นโดยอาศัยใบมอบอำนาจดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 119 เดิม ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6559/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่ยินยอมให้กรอกข้อความเพิ่มเติม ถือเป็นเอกสารปลอมและทำให้สัญญาที่ทำขึ้นโดยอาศัยเอกสารนั้นเป็นโมฆะ
โจทก์เพียงแต่ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจในช่องผู้มอบอำนาจเพียงชื่อเดียวโดยมิได้กรอกข้อความหรือยินยอมให้ผู้อื่นกรอกข้อความใดๆลงไปเมื่อมีการกรอกข้อความโดยที่มิได้รับความยินยอมจากโจทก์จึงเป็นการปลอมเอกสารหนังสือมอบอำนาจและหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินซึ่งทำขึ้นโดยอาศัยใบมอบอำนาจดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา119เดิมไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6383/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การก่อสร้างรุกล้ำที่ดินโดยประมาทเลินเล่อและไม่สุจริต เจ้าของที่ดินมีสิทธิเรียกร้องให้รื้อถอนได้
เมื่อจำเลยทั้งสามไม่พบหลักเขตที่ดินด้านที่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองก่อนหรือขณะทำการก่อสร้างอาคาร จำเลยทั้งสามก็ไม่เคยยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินหรือแจ้งแก่เจ้าของที่ดินข้างเคียงให้ไประวังแนวเขตที่ดิน การที่จำเลยทั้งสามปลูกสร้างอาคารถาวรลงในที่ดินของตนรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงและถือว่าไม่สุจริต
of 79