คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ณรงค์ ตันติเตมิท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 789 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1115/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจอนุมัติเกษียณก่อนกำหนด: ผู้จัดการโรงงานเสนอ, กรรมการผู้จัดการอนุมัติ
ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าผู้ที่มีอำนาจอนุมัติให้โจทก์เกษียณอายุก่อนครบกำหนดได้คือกรรมการผู้จัดการ ดังนั้น ที่ผู้จัดการโรงงานของจำเลยบันทึกลงในคำขอเกษียณอายุก่อนครบกำหนดของโจทก์ว่า เพื่อพิจารณาอนุมัติ จึงเป็นการบันทึกเสนอให้กรรมการผู้จัดการพิจารณาเท่านั้น หาใช่เป็นการอนุมัติให้โจทก์เกษียณอายุก่อนครบกำหนดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1101/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนขายที่ดินโดยไม่สุจริตของผู้จัดการมรดก และสิทธิในที่ดินร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ที่1จำเลยที่1และจ.เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันมิได้บรรยายส่วนสัดไว้แต่ต้นว่าแต่ละคนมีส่วนถือกรรมสิทธิ์แตกต่างกันมาเช่นนี้มาตลอดนับแต่ซื้อมาจนกระทั่งมีการจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่2นับรวมได้เป็นเวลา20ปีเศษแสดงว่าเจ้าของรวมแต่ละคนไม่ติดใจในส่วนสัดของที่ดินพิพาทที่ปรากฎทางทะเบียนโฉนดที่ดินแต่อย่างใดจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา1357แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่บัญญัติให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้เป็นเจ้าของรวมมีส่วนเท่ากัน จำเลยที่1รู้ว่าโจทก์ที่1ซึ่งเป็นมารดายังมีชีวิตและมีที่อยู่แน่นอนมาแต่ต้นดังนั้นการที่จำเลยที่1ไปร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งว่าโจทก์ที่1เป็นคนสาบสูญและตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกตลอดจนไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของโจทก์ที่1ให้แก่จำเลยที่2จึงเป็นการที่ทำไปโดยไม่สุจริตแม้จำเลยที่2จะรับซื้อไว้โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตก็ตามก็หาทำให้จำเลยที่2ได้ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของโจทก์ที่1ไม่เพราะผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนจำเลยที่2ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1101/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรวมสัดส่วนเท่ากัน-การโอนสิทธิโดยไม่สุจริต-ผู้รับโอนไม่มีสิทธิเหนือผู้โอน
การจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 และ จ.เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน มิได้บรรยายส่วนสัดไว้แต่ต้นว่าแต่ละคนมีส่วนถือกรรมสิทธิ์แตกต่างกันเป็นเช่นนี้มาตลอดนับแต่ซื้อมาจนกระทั่งมีการจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 2นับรวมได้เป็นเวลา 20 ปีเศษ แสดงว่าเจ้าของรวมแต่ละคนไม่ติดใจในส่วนสัดของที่ดินพิพาทที่ปรากฏทางทะเบียนโฉนดที่ดินแต่อย่างใด จึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 1357 แห่ง ป.พ.พ.ที่บัญญัติให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้เป็นเจ้าของรวมมีส่วนเท่ากัน
จำเลยที่ 1 รู้ว่าโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นมารดายังมีชีวิตและมีที่อยู่แน่นอนมาแต่ต้น ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 ไปร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งว่าโจทก์ที่ 1เป็นคนสาบสูญและตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดก ตลอดจนไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นการที่ทำไปโดยไม่สุจริต แม้จำเลยที่ 2 จะรับซื้อไว้โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตก็ตามก็หาทำให้จำเลยที่ 2 ได้ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 1 ไม่ เพราะผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน จำเลยที่ 2 ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1049/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยเคยต้องโทษคดีลักษณะเดียวกัน ขัดต่อการรอการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนในความผิดลักษณะเดียวกันซึ่งมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา56ที่ศาลจะใช้ดุลพินิจให้รอการลงโทษแก่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม - การบรรยายรายละเอียดข้อหาและบัญชีผู้ฝากสำคัญต่อการต่อสู้คดี
โจทก์บรรยายฟ้องข้อแรกว่าเมื่อพ. นำใบถอนเงินมาขอถอนเงินแทนผู้ฝากจำเลยที่1ที่2และที่2ได้ลงนามอนุมัติให้ถอนเงินหลายครั้งหลายหนในเอกสารใบถอนเงินโดยไม่ตรวจสอบลายมือชื่อผู้ถอนเงินหรือผู้มอบฉันทะแล้วแต่กรณีในใบถอนเงินว่าเหมือนหรือคล้ายกับตัวอย่างลายมือชื่อผู้ฝากในบัตรคู่บัญชีหรือไม่หากมีการตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่เหมือนหรือไม่คล้ายกันก็ยังอนุมัติให้ถอนเงินและอีกข้อบรรยายว่าจำเลยที่4ถึงที่9ละเลยการปฏิบัติเช่นเดียวกับที่บรรยายไว้ในข้อแรกทุกประการหลายครั้งหลายหนโดยไม่ได้บรรยายว่าใบถอนเงินที่จำเลยทั้งจำเลยทั้งเก้าตรวจสอบแล้วเห็นว่าลายมือชื่อไม่เหมือนก็ยังอนุมัติให้ถอนเงินนั้นเป็นเงินในบัญชีของผู้ฝากรายใดถอนเงินไปจำนวนเท่าใดเมื่อวันเดือนปีใดจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งโจทก์ไม่ได้แนบบัญชีผู้ฝากเงินดังกล่าวมาท้ายฟ้องเพื่อที่จะให้จำเลยเข้าใจและให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้องฟ้องโจทก์ย่อมขาดสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172เป็นฟ้องเคลือบคลุมและเมื่อโจทก์มีคำขอให้จำเลยที่3ที4ที่6และที่8รับผิดต่อโจทก์ร่วมกันหรือแทนกันกับจำเลยอื่นอันเป็นการชำระหนี้ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้แล้วแม้จำเลยที่3ที่4ที่6และที่8ไม่ได้ยกปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมขึ้นให้การต่อสู้ไว้ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องในประเด็นดังกล่าวไปถึงจำเลยที่3ที่4ที่6และที่8ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม – สภาพแห่งข้อหาไม่ชัดเจน – การลงนามอนุมัติถอนเงินโดยไม่ตรวจสอบลายมือชื่อ – สาระสำคัญของฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องข้อแรกว่า เมื่อ พ.นำใบถอนเงินมาขอถอนเงินแทนผู้ฝาก จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้ลงนามอนุมัติให้ถอนเงินหลายครั้งหลายหนในเอกสารใบถอนเงินโดยไม่ตรวจสอบลายมือชื่อผู้ถอนเงินหรือผู้มอบฉันทะแล้วแต่กรณีในใบถอนเงินว่าเหมือนหรือคล้ายกับตัวอย่างลายมือชื่อผู้ฝากในบัตรคู่บัญชีหรือไม่ หากมีการตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่เหมือนหรือไม่คล้ายกันก็ยังอนุมัติให้ถอนเงิน และอีกข้อบรรยายว่า จำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 ละเลยการปฏิบัติเช่นเดียวกับที่บรรยายไว้ในข้อแรกทุกประการหลายครั้งหลายหน โดยไม่ได้บรรยายว่าใบถอนเงินที่จำเลยทั้งเก้าอนุมัติให้ถอนเงินโดยไม่ตรวจสอบ และใบถอนเงินที่จำเลยทั้งเก้าตรวจสอบแล้วเห็นว่าลายมือชื่อไม่เหมือนก็ยังอนุมัติให้ถอนเงินนั้นเป็นเงินในบัญชีของผู้ฝากรายใด ถอนเงินไปจำนวนเท่าใด เมื่อวันเดือนปีใดจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งโจทก์ไม่ได้แนบบัญชีผู้ฝากเงินดังกล่าวมาท้ายฟ้อง เพื่อที่จะให้จำเลยเข้าใจและให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องโจทก์ย่อมขาดสาระสำคัญตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 เป็นฟ้องเคลือบคลุม และเมื่อโจทก์มีคำขอให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 รับผิดต่อโจทก์ร่วมกันหรือแทนกันกับจำเลยอื่นอันเป็นการชำระหนี้ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้แล้ว แม้จำเลยที่ 3ที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 ไม่ได้ยกปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมขึ้นให้การต่อสู้ไว้ ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องในประเด็นดังกล่าวไปถึงจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 778/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการโอนที่ดินตามสัญญาประนีประนอม แม้ที่ดินจะไม่อยู่ในเขตโฉนด ศาลฎีกาชี้ว่าต้องปฏิบัติตามเจตนาเดิม
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์จำเลยตกลงโอนที่ดินโฉนดเลขที่5322ตามแผนที่ท้ายสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งกำหนดความกว้างความยาวและเขตติดต่อกับถนนสาธารณะกับเขตทางหลวงไว้ชัดเจนดังนี้แม้ที่ดินตามแผนที่ท้ายสัญญาจะเป็นที่ดินอยู่นอกเขตโฉนดเลขที่5322ก็ตามแต่โจทก์จำเลยก็มีเจตนาประสงค์ที่จะโอนที่ดินตามแผนที่ดังกล่าวติดต่อกันเป็นสำคัญเหตุที่ระบุว่าเป็นที่ดินของโฉนดดังกล่าวนั้นก็เพราะเป็นผลมาจากที่กำหนดกันไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายนั่นเองแสดงว่าในขณะที่โจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายกันก็ดีและขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันก็ดีต่างเข้าใจว่าเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตโฉนดเลขที่5322ดังนี้เมื่อปรากฏว่าความจริงเป็นที่ดินอยู่นอกเขตโฉนดดังกล่าวซึ่งจำเลยครอบครองอยู่และโจทก์จำเลยตกลงยินยอมโอนให้แก่กันจำเลยจึงต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามแผนที่ท้ายสัญญาให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 716/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินระหว่างคู่สัญญาประนีประนอมกับบุคคลภายนอกที่อายัดไว้ก่อน
คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยยอมชำระเงินให้แก่โจทก์ หากไม่ชำระจำเลยยอมโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์นั้น ไม่ใช่คำพิพากษาที่แสดงหรือวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ที่ดินว่าเป็นของโจทก์ เมื่อ ว.ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทและได้ขออายัดที่ดินพิพาทไว้ก่อนที่โจทก์และจำเลยจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน สิทธิของโจทก์กับของ ว.ใครจะดีกว่ากันจึงยังไม่แน่นอน หากศาลมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ผลแห่งการบังคับคดีย่อมไปกระทบกระเทือนสิทธิของ ว.ซึ่งมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วยอันเป็นการไม่ชอบ โจทก์จึงขอบังคับคดีให้โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ยังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 716/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีโอนที่ดินขัดแย้งกับสิทธิบุคคลภายนอก
คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยยอมชำระเงินให้แก่โจทก์หากไม่ชำระจำเลยยอมโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์นั้นไม่ใช่คำพิพากษาที่แสดงหรือวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ที่ดินว่าเป็นของโจทก์เมื่อว.ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทและได้ขออายัดที่ดินพิพาทไว้ก่อนที่โจทก์และจำเลยจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันสิทธิของโจทก์กับของว.ใครจะดีกว่ากันจึงยังไม่แน่นอนหากศาลมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ผลแห่งการบังคับคดีย่อมไปกระทบกระเทือนสิทธิของว.ซึ่งมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วยอันเป็นการไม่ชอบโจทก์จึงขอบังคับคดีให้โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ยังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งมอบเงินโดยสำคัญผิด ยักยอก และความรับผิดของพนักงานธนาคาร
คำเบิกความของพยานคนใดจะรับฟังได้หรือไม่ต้องแล้วแต่เหตุผลในคำพยานนั้นเองแม้เป็น พยานคู่กันก็ไม่จำต้องรู้เห็นเหตุการณ์หรือเบิกความได้ตรงกันหมดทุกคนจึงจะรับฟังได้พยานอาจเบิกความสนับสนุนบางตอนเท่าที่ตนรู้เห็นจริงเท่านั้นก็ได้ เอกสารที่พยานโจทก์เป็นผู้จัดทำตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและเป็นไปตามลำดับขั้นตอนตามหน้าที่ซึ่งพยานรับผิดชอบทั้งจำเลยก็มิได้โต้แย้งว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับความจริงจึงมีน้ำหนักและการเบิกความของพยานโจทก์เป็นการเบิกความประกอบเอกสารและเอกสารก็มีรายละเอียดชัดเจนอยู่แล้วเมื่อฟังประกอบกับพยานบุคคลจึงเชื่อได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นดัง พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา พนักงานของโจทก์ร่วมส่งมอบเงินให้แก่จำเลยที่นำเช็คมาเบิกเงินเกินจำนวนไปเนื่องจากมิได้ดูจำนวนเงินในเช็คให้รอบคอบถือว่าเป็นการส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปเมื่อจำเลยเบียดบังเอาเป็นของตนจึงเป็นความผิดฐานยักยอก
of 79