คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ณรงค์ ตันติเตมิท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 789 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6241/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบฟ้องอาญาเช็ค, การชำระหนี้หลังฟ้อง, และเหตุคดีเลิกกันตาม พ.ร.บ. เช็ค
การที่จะพิจารณาว่าคำบรรยายฟ้องของโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่ต้องพิจารณา จากบทกฎหมายที่ใช้บังคับขณะยื่นฟ้องจำเลยจะอ้างว่าฟ้องโจทก์บรรยายไม่ครบองค์ประกอบความผิด ตามบทกฎหมายซึ่งใช้บังคับภายหลังที่โจทก์ยื่นฟ้องหาได้ไม่ เช็คพิพาทมีมูลหนี้อันเกิดจากการยอมความกันสืบเนื่องมาจากโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีจำเลยในข้อหายักยอกเงินของโจทก์ร่วมซึ่งจำเลยตกลงยอมใช้เงินแก่โจทก์ร่วม การที่จำเลยนำเงินตามเช็คพิพาทมาวางศาลในคดีที่จำเลยและโจทก์ร่วมพิพาทกันอยู่ แต่โจทก์ร่วมไม่ยอมรับโดยไม่ปรากฏว่าเพราะเหตุใด การกระทำของจำเลย เป็นการปฏิบัติตามข้อผูกพันซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องกระทำตามที่ตกลงยอมความไว้กับโจทก์ร่วมแล้ว จึงถือได้ว่าหนี้อันเกิดขึ้นจากการยอมความในส่วนที่จำเลยได้ออกเช็คพิพาท นั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึง เลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธิของโจทก์ในการนำคดี มาฟ้องจึงระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6241/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิดเช็ค, การยอมความ, และผลของการชำระหนี้ก่อนมีคำพิพากษา
การที่จะพิจารณาว่าคำบรรยายฟ้องของโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่ต้องพิจารณาจากบทกฎหมายที่ใช้บังคับขณะยื่นฟ้องจำเลยจะอ้างว่าฟ้องโจทก์บรรยายไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามบทกฎหมายซึ่งใช้บังคับภายหลังที่โจทก์ยื่นฟ้องหาได้ไม่ เช็คพิพาทมีมูลหนี้อันเกิดจากการยอมความกันสืบเนื่องมาจากโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีจำเลยในข้อหายักยอกเงินของโจทก์ร่วมซึ่งจำเลยตกลงยอมใช้เงินแก่โจทก์ร่วมการที่จำเลยนำเงินตามเช็คพิพาทมาวางศาลในคดีที่จำเลยและโจทก์ร่วมพิพาทกันอยู่แต่โจทก์ร่วมไม่ยอมรับโดยไม่ปรากฏว่าเพราะเหตุใดการกระทำของจำเลยเป็นการปฏิบัติตามข้อผูกพันซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องกระทำตามที่ตกลงยอมความไว้กับโจทก์ร่วมแล้วจึงถือได้ว่าหนี้อันเกิดขึ้นจากการยอมความในส่วนที่จำเลยได้ออกเช็คพิพาทนั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดคดีจึงเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา7สิทธิของโจทก์ในการนำคดีมาฟ้องจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6123/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีใหม่เพื่อขอไถ่ถอนจำนองเมื่อคดีบังคับจำนองยังไม่สิ้นสุด เป็นการไม่ชอบที่ไม่ควรฟ้องเป็นคดีใหม่
คดีเดิมจำเลยฟ้องโจทก์บังคับจำนองศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินไถ่ถอนจำนองหากไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระโจทก์ไม่ชำระจำเลยขอให้บังคับคดีและนำยึดที่ดินจำนองออกขายทอดตลาดและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ตามคำร้องของโจทก์ที่อ้างว่าได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาและได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่แล้วการที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่จำเลยนอกศาลแล้วขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินจำนองคืนแก่โจทก์มีผลเป็นการขอให้ถอนการบังคับคดีในคดีเดิมซึ่งเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการบังคับคดีในคดีเดิมจึงเป็นเรื่องต้องว่ากล่าวกันในคดีเดิมในชั้นบังคับคดีไม่ชอบที่จะมาฟ้องเป็นคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6123/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องบังคับไถ่ถอนจำนองที่ซ้ำซ้อนกับคดีบังคับคดีเดิม ศาลไม่รับฟ้องคดีใหม่ ต้องแก้ไขในชั้นบังคับคดี
คดีเดิมจำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องบังคับจำนองเอาแก่โจทก์คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์คดีนี้ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองแต่โจทก์คดีนี้ไม่ชำระจำเลยคดีนี้ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินจำนองออกขายทอดตลาดโจทก์คดีนี้ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นงดการบังคับคดีไว้ก่อนโดยอ้างว่าได้ชำระหนี้ให้จำเลยคดีนี้แล้วและได้ยื่นฟ้องเป็นคดีนี้อ้างว่าได้ชำระหนี้ให้จำเลยคดีนี้แล้วขอให้บังคับให้ไถ่ถอนจำนองดังนี้คำฟ้องคดีนี้เป็นข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับการบังคับคดีในคดีเดิมจึงเป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวกันในคดีเดิมในชั้นบังคับคดีไม่ชอบที่จะมาฟ้องเป็นคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6123/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีใหม่เพื่อขอไถ่ถอนจำนองเมื่อคดีบังคับคดีเดิมยังไม่สิ้นสุด เป็นการไม่ชอบและศาลต้องพิจารณาในคดีเดิม
คดีเดิมจำเลยฟ้องโจทก์บังคับจำนอง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินไถ่ถอนจำนอง หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำนอง ออกขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระ โจทก์ไม่ชำระ จำเลยขอให้บังคับคดี และนำยึดที่ดินจำนองออกขายทอดตลาด และศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ให้งดการบังคับคดีไว้ตามคำร้องของโจทก์ที่อ้างว่า ได้ ชำระหนี้ ตาม คำพิพากษา และ ได้ ฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่แล้ว การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ตาม คำพิพากษาแก่จำเลยนอกศาลแล้ว ขอให้บังคับจำเลย จดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง และให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการ ทำประโยชน์ของที่ดินจำนองคืนแก่โจทก์ มีผลเป็นการขอ ให้ถอนบังคับคดีในคดีเดิม ซึ่งเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการ บังคับคดีในคดีเดิม จึงเป็นเรื่องต้องว่ากล่าวกันในคดีเดิม ในชั้นบังคับคดี ไม่ชอบที่จะมาฟ้องเป็นคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6123/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการบังคับคดีต้องระบุในคดีเดิม การฟ้องคดีใหม่ไม่ชอบ
คดีเดิมจำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องบังคับจำนองเอาแก่โจทก์คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์คดีนี้ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนอง แต่โจทก์คดีนี้ไม่ชำระ จำเลยคดีนี้จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินจำนองออกขายทอดตลาด โจทก์คดีนี้ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นงดการบังคับคดีไว้ก่อนโดยอ้างว่าได้ชำระหนี้ให้จำเลยคดีนี้แล้ว และได้ยื่นฟ้องเป็นคดีนี้อ้างว่าได้ชำระหนี้ให้จำเลยคดีนี้แล้ว ขอให้บังคับให้ไถ่ถอนจำนอง ดังนี้ คำฟ้องคดีนี้เป็นข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับการบังคับคดีในคดีเดิม จึงเป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวกันในคดีเดิมในชั้นบังคับคดี ไม่ชอบที่จะมาฟ้องเป็นคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6058/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ห้องพิพาทกับที่ดิน และข้อจำกัดการฎีกาเรื่องทุนทรัพย์
โจทก์ฎีกาว่า ห้องพิพาทเป็นส่วนควบกับที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1เช่ามาจาก จ. ไม่ได้ซื้อมาจาก บ. ห้องพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ห้องพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ฎีกาโจทก์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าห้องพิพาทมีราคาไม่เกิน 15,000 บาท แม้รวมกับค่าเสียหายจำนวน 24,000 บาท ที่โจทก์เรียกร้อง ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์ก็ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยทั้งสามอยู่อาศัยเป็นของโจทก์ จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินกับห้องพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสามโดยการครอบครอง-ปรปักษ์ ปัญหาว่าห้องพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสามหรือไม่ จึงเป็นประเด็นในคดีโดยตรง ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ในห้องพิพาทโดยให้จำเลยรื้อถอนออกไปได้ตามฟ้องแย้ง ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือนอกฟ้องนอกประเด็นแต่อย่างใด
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยทั้งสามแล้วสั่งว่า จำเลยทั้งสามยังไม่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังโจทก์มิได้คัดค้านอุทธรณ์คำสั่งจึงต้องถือว่ายุติ กรณีมิใช่สั่งอนุญาตขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้แก่จำเลยทั้งสาม ข้อความที่จำเลยทั้งสามฎีกาได้กล่าวโดยละเอียดถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ซึ่งเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยแจ้งชัดตรงตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ จึงเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่เป็นฎีกาเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5943/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์: หนี้จากการซื้อขาย, อัตราดอกเบี้ย, และอายุความ 10 ปี
ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยได้ทำคำขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับโจทก์และแต่งตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์แทนจำเลยแล้วโจทก์ได้ซื้อขายหลักทรัพย์ให้จำเลยหลายครั้งเมื่อหักทอนบัญชีกันแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้องโจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระโดยได้แนบสำเนารายละเอียดการสั่งซื้อหุ้นการสั่งขายหุ้นยอดเงินสุทธิการซื้อขายให้แก่จำเลยเป็นเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นมูลแห่งคำฟ้องไว้เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสอง ตามสัญญาตั้งตัวแทนเอกสารหมายจ.4ขณะนั้นโจทก์ใช้ชื่อว่า"บริษัทไทยค้าหลักทรัพย์จำกัด"ต่อมาโจทก์ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น"บริษัทหลักทรัพย์ไทยค้าจำกัด"การทำเอกสารตั้งตัวแทนตามเอกสารหมายจ.16ขึ้นใหม่จึงเป็นเพราะโจทก์เปลี่ยนชื่อใหม่นั่นเองถือไม่ได้ว่าการตั้งตัวแทนตามเอกสารหมายจ.4ได้สิ้นสุดลงไปแล้วแต่เป็นการยืนยันตั้งโจทก์ซึ่งเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ให้จำเลยต่อไปเช่นเดิมแม้ทั้งเอกสารหมายจ.4หรือจ.16มิได้กำหนดให้จำเลยมีหน้าที่ต้องแจ้งหรือมีหนังสือเลิกสัญญาเป็นตัวแทนกับโจทก์แต่การเลิกสัญญาต้องกระทำด้วยการแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่งเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยหรือโจทก์ได้แสดงเจตนาเลิกสัญญาแก่อีกฝ่ายหนึ่งและไม่มีพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยกับโจทก์ได้เลิกสัญญากันโดยปริยายสัญญาตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงยังไม่เลิกกันจนกระทั่งโจทก์แจ้งให้จำเลยชำระเงินส่วนที่ขาดอยู่ตามหนังสือทวงถามจึงถือได้ว่าโจทก์เพิ่งบอกเลิกสัญญาตัวแทนกับจำเลยในวันที่จำเลยได้รับหนังสือทวงถามฉะนั้นการที่โจทก์ทำการเป็นตัวแทนให้จำเลยในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลาที่จำเลยแต่งตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนจนถึงวันบอกเลิกสัญญาการกระทำดังกล่าวของโจทก์จึงเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนกระทำแทนตัวการภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทนตามที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยซึ่งเป็นตัวการจำเลยจึงต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดจากการดำเนินการดังกล่าวให้แก่โจทก์การที่โจทก์เคยเรียกให้จำเลยไปชำระเงินเพิ่มแต่จำเลยแจ้งว่าไม่มีเงินที่จะชำระโจทก์จึงได้ทำการขายหุ้นที่โจทก์สั่งซื้อให้จำเลยเพื่อชำระค่าหุ้นยังไม่พอแสดงว่ามีการหักกลบลบหนี้กันเสร็จสิ้นไปแล้ว วิธีปฏิบัติระหว่างโจทก์จำเลยเป็นการปฏิบัติต่อกันตามสัญญาตัวแทนโดยจำเลยตั้งโจทก์เป็นตัวแทนในการซื้อขายหุ้นหรือหลักทรัพย์โดยให้โจทก์จ่ายเงินทดรองแทนจำเลยไปก่อนโจทก์ได้ผลประโยชน์เป็นดอกเบี้ยจากเงินที่ทดรองจ่ายแทนจำเลยและในการขายหุ้นตามคำสั่งของจำเลยเมื่อขายได้กำไรก็หักภาษีกำไรที่เหลือมอบให้จำเลยและในการที่โจทก์ซื้อขายแทนจำเลยโจทก์ได้รับค่าธรรมเนียมจากจำเลยวัตถุประสงค์ของโจทก์จำเลยจึงเป็นการค้าเก็งกำไรจากราคาหุ้นที่ขึ้นลงมากกว่าประสงค์จะลงทุนอย่างแท้จริงเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าโจทก์จำเลยมิได้ยึดถือเอาระเบียบข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ที่ว่าจำเลยต้องวางเงินประกันร้อยละ30ของวงเงินที่จำเลยมีสิทธิสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นในแต่ละวันหากซื้อเกินจำนวนเงินดังกล่าวจำเลยก็จะต้องส่งเงินประกันร้อยละ30ภายใน7วันมาเป็นสาระสำคัญของสัญญาดังนั้นไม่ว่าโจทก์จำเลยจะได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าวหรือไม่ก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามหลักฐานที่โจทก์นำสืบจำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ คดีนี้เป็นเรื่องตัวแทนเรียกร้องเอาเงินที่ได้ออกทดรองจ่ายไปในกิจการอันตัวการมอบหมายแก่ตนจากตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา816ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีอายุความ10ปีตามมาตรา164เดิมที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เมื่อจำเลยแต่งตั้งโจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์เมื่อวันที่16กุมภาพันธ์2521แล้วต่อมาโจทก์ได้ดำเนินการซื้อขายหลักทรัพย์และออกเงินทดรองให้แก่จำเลยหลายคราวโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่2เมษายน2530ยังไม่ถึง10ปีนับแต่โจทก์ได้ออกเงินทดรองแต่ละคราวไปคดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5943/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์, อายุความ, การทดรองจ่าย, และความรับผิดของตัวการ
ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายว่า จำเลยได้ทำคำขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับโจทก์และแต่งตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์แทนจำเลย แล้วโจทก์ได้ซื้อขายหลักทรัพย์ให้จำเลยหลายครั้ง เมื่อหักทอนบัญชีกันแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระ โดยได้แนบสำเนารายละเอียดการสั่งซื้อหุ้น การสั่งขายหุ้น ยอดเงินสุทธิการซื้อขายให้แก่จำเลยเป็นเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นมูลแห่งคำฟ้องไว้ เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง
ตามสัญญาตั้งตัวแทนเอกสารหมาย จ.4 ขณะนั้นโจทก์ใช้ชื่อว่า" บริษัทไทยค้าหลักทรัพย์ จำกัด" ต่อมาโจทก์ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "บริษัทหลักทรัพย์ไทยค้า จำกัด" การทำเอกสารตั้งตัวแทนตามเอกสารหมาย จ.16 ขึ้นใหม่ จึงเป็นเพราะโจทก์เปลี่ยนชื่อใหม่นั่นเอง ถือไม่ได้ว่าการตั้งตัวแทนตามเอกสารหมาย จ.4ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว แต่เป็นการยืนยันตั้งโจทก์ซึ่งเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ให้จำเลยต่อไปเช่นเดิม แม้ทั้งเอกสารหมาย จ.4 หรือ จ.16 มิได้กำหนดให้จำเลยมีหน้าที่ต้องแจ้ง หรือมีหนังสือเลิกสัญญาเป็นตัวแทนกับโจทก์แต่การเลิกสัญญาต้องกระทำด้วยการแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยหรือโจทก์ได้แสดงเจตนาเลิกสัญญาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง และไม่มีพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยกับโจทก์ได้เลิกสัญญากันโดยปริยาย สัญญาตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงยังไม่เลิกกัน จนกระทั่งโจทก์แจ้งให้จำเลยชำระเงินส่วนที่ขาดอยู่ตามหนังสือทวงถามจึงถือได้ว่าโจทก์เพิ่งบอกเลิกสัญญาตัวแทนกับจำเลยในวันที่จำเลยได้รับหนังสือทวงถาม ฉะนั้นการที่โจทก์ทำการเป็นตัวแทนให้จำเลยในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลาที่จำเลยแต่งตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนจนถึงวันบอกเลิกสัญญา การกระทำดังกล่าวของโจทก์จึงเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนกระทำแทนตัวการภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทนตามที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยซึ่งเป็นตัวการ จำเลยจึงต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดจากการดำเนินการดังกล่าวให้แก่โจทก์ การที่โจทก์เคยเรียกให้จำเลยไปชำระเงินเพิ่ม แต่จำเลยแจ้งว่าไม่มีเงินที่จะชำระ โจทก์จึงได้ทำการขายหุ้นที่โจทก์สั่งซื้อให้จำเลยเพื่อชำระค่าหุ้น ยังไม่พอแสดงว่ามีการหักกลบลบหนี้กันเสร็จสิ้นไปแล้ว
วิธีปฏิบัติระหว่างโจทก์จำเลยเป็นการปฏิบัติต่อกันตามสัญญาตัวแทน โดยจำเลยตั้งโจทก์เป็นตัวแทนในการซื้อขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ โดยให้โจทก์จ่ายเงินทดรองแทนจำเลยไปก่อน โจทก์ได้ผลประโยชน์เป็นดอกเบี้ยจากเงินที่ทดรองจ่ายแทนจำเลย และในการขายหุ้นตามคำสั่งของจำเลย เมื่อขายได้กำไรก็หักภาษี กำไรที่เหลือมอบให้จำเลย และในการที่โจทก์ซื้อขายแทนจำเลยโจทก์ได้รับค่าธรรมเนียมจากจำเลย วัตถุประสงค์ของโจทก์จำเลยจึงเป็นการค้าเก็งกำไรจากราคาหุ้นที่ขึ้นลง มากกว่าประสงค์จะลงทุนอย่างแท้จริง เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าโจทก์จำเลยมิได้ยึดถือเอาระเบียบข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ที่ว่าจำเลยต้องวางเงินประกันร้อยละ 30 ของวงเงินที่จำเลยมีสิทธิสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นในแต่ละวัน หากซื้อเกินจำนวนเงินดังกล่าว จำเลยก็จะต้องส่งเงินประกันร้อยละ 30 ภายใน 7 วัน มาเป็นสาระสำคัญของสัญญา ดังนั้น ไม่ว่าโจทก์จำเลยจะได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าวหรือไม่ก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามหลักฐานที่โจทก์นำสืบ จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์
คดีนี้เป็นเรื่องตัวแทนเรียกร้องเอาเงินที่ได้ออกทดรองจ่ายไปในกิจการอันตัวการมอบหมายแก่ตนจากตัวการ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 816ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา164 เดิม ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ เมื่อจำเลยแต่งตั้งโจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2521 แล้ว ต่อมาโจทก์ได้ดำเนินการซื้อขายหลักทรัพย์และออกเงินทดรองให้แก่จำเลยหลายคราวโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2530 ยังไม่ถึง 10 ปี นับแต่โจทก์ได้ออกเงินทดรองแต่ละคราวไป คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5932/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ยืมหลังทำสัญญาไม่ทำให้สัญญาเป็นเอกสารปลอม หากไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย
โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ตามสัญญากู้เอกสารท้ายฟ้องจำนวน 20,200 บาท จำเลยให้การต่อสู้เรื่องสัญญากู้เป็นเอกสารปลอมเป็นประเด็นสำคัญ โดยอ้างเหตุว่าที่เป็นเอกสารปลอมเนื่องจากโจทก์ได้แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ฝ่ายเดียว แม้จำเลยจะอ้างในคำให้การ ด้วยว่าจำเลยไม่เคยกู้เงินจากโจทก์ตามฟ้องก็ตาม แต่จำเลยก็หาได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าลายมือชื่อ ในช่องผู้กู้มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยไม่ทั้งที่เป็นข้อสาระสำคัญ ที่จำเลยอาจยกขึ้นปฏิเสธในคำให้การได้ จึงเท่ากับจำเลยอ้างเหตุตั้งประเด็นไว้เฉพาะสัญญากู้ตามฟ้องเป็นเอกสารที่ทำปลอมขึ้น บางส่วนเท่านั้น เมื่อจำเลยมิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยจึงต้องถือว่าจำเลยรับว่าลายมือชื่อในช่องผู้กู้เป็นลายมือชื่อของจำเลย จำเลยย่อมไม่มีประเด็นที่จะนำสืบว่าลายมือชื่อผู้กู้เป็นลายมือชื่อปลอม และที่จำเลยนำสืบว่าได้ชำระเงินกู้ตามสัญญาโดยมีการเวนคืนเอกสารแล้วนั้น จำเลยก็ให้การว่า วันดังกล่าวจำเลยไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์ หาได้ให้การเป็นประเด็นว่ามีการกู้เงินและชำระเงินกู้คืนแล้วไม่ จำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบเช่นเดียวกัน การที่โจทก์แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้โดยการขีดฆ่าตัวเลขและตัวอักษรจากจำนวน 25,700 บาท เป็นจำนวน20,200 บาท และลงชื่อกำกับไว้เพื่อให้ตรงกับความเป็นจริงไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่จำเลย และคดีนี้โจทก์แก้ไขจำนวนเงินที่กู้ให้ลดลงจากเดิม กลับจะเป็นประโยชน์แก่จำเลย สัญญากู้จึงไม่เป็นเอกสารปลอม และเป็นเอกสารที่สมบูรณ์รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้
of 79