พบผลลัพธ์ทั้งหมด 177 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1340/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับสัญญา: กรณีผู้รับจ้างไม่เริ่มงานตามสัญญา
สัญญากำหนดว่า หากผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา และผู้ว่าจ้างยังมิได้บอกเลิกสัญญา ผู้รับจ้างจะจ่ายค่าปรับให้แก่ผู้ว่าจ้างเป็นจำนวนเงินวันละ 23,706.54 บาท สำหรับความล่าช้านับแต่วันกำหนดแล้วเสร็จตามสัญญาหรือวันที่ผู้ว่าจ้างได้ขยายให้จนถึงวันที่ทำงานแล้วเสร็จจริง หมายความว่าผู้รับจ้างต้องจ่ายค่าปรับเพราะเหตุส่งมอบงานล่าช้านับแต่วันที่กำหนดทำงานแล้วเสร็จตามสัญญา จนถึงวันที่ทำงานแล้วเสร็จจริงกรณีหนึ่งกับสำหรับความล่าช้านับแต่วันที่ผู้ว่าจ้างขยายให้จนถึงวันที่ผู้รับจ้างทำงานแล้วเสร็จอีกกรณีหนึ่ง เมื่อผู้รับจ้างมิได้เข้าทำงานตามที่ได้ทำสัญญาไว้เลย จึงไม่มีวันที่ผู้รับ-จ้างทำงานแล้วเสร็จหลังจากวันที่ครบกำหนดสัญญาได้ ผู้ว่าจ้างจึงไม่อาจเรียกเบี้ยปรับเป็นรายวันตามข้อสัญญาดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1335/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองสัญญาจะซื้อขายเมื่อจำเลยไม่ปฏิเสธ และการใช้เอกสารประกอบพิจารณาคดี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายรถยนต์กับโจทก์ปรากฎตามสำเนาสัญญาจะซื้อขายท้ายฟ้อง แล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือ จำเลยให้การต่อสุ้คดีแต่เพียงข้อเดียวว่าชำระแล้ว แต่มิได้ปฎิเสธสัญญา ประเด็นข้อพิพาทจึงมีเพียงว่าจำเลยชำระราคารถยนต์ส่วนที่เหลือให้โจทก์แล้วหรือไม่ส่วนสัญญาจะซื้อขายที่โจทก์อ้างเมื่อจำเลยไม่ปฎิเสธต้องถือว่าจำเลยรับ โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องนำสืบ และเมื่อถือว่าจำเลยรับสัญญาจะซื้อขายที่โจทก์อ้างแล้วรายละเอียดที่ปรากฏอยู่ในสำเนาสัญญาจะซื้อขายย่อมนำมาใช้ประกอบในการพิจารณาพิพากษาได้กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พ้นวิสัยจากเหตุอนุมัติสินค้าไม่อนุมัติจากรัฐบาลต่างประเทศ ไม่เป็นความผิดจำเลย
ข้อตกลงซื้อขายชุดสแครมเบลอร์ยี่ห้อดาต้าคริพเตอร์ทูระหว่างจำเลยกับโจทก์เป็นข้อตกลงหลวม ๆ ไม่มีข้อความระบุรายละเอียดความรับผิดของแต่ละฝ่ายไว้ กำหนดการส่งมอบสินค้าก็ไม่อาจกำหนดเวลาให้แน่ชัดลงไปได้เพราะต้องรอการตรวจสอบ ซึ่งโจทก์ทราบเงื่อนไขข้อนี้เป็นอย่างดี และสินค้าที่ซื้อขายเป็นยุทธปัจจัยการส่งออกจะต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนและโจทก์ทราบอุปสรรคข้อนี้ แต่ก็มิได้ยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นข้อสำคัญให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ แต่กลับปรากฏว่าเมื่อการรอคอยคำตอบจากรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นไปด้วยความล่าช้าโจทก์สอบถามจำเลยเพื่อจะดำเนินการติดต่อซื้อเองโดยตรงจากบริษัทร.ผู้ผลิตซึ่งจำเลยก็บอกว่าโจทก์สามารถทำได้และโจทก์ได้สั่งซื้อเองจึงเห็นได้ว่าโจทก์เองก็ถือว่า การที่รัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาไม่อนุมัติให้บริษัทร. ขายสินค้าให้โจทก์ จะถือเป็นความผิดของจำเลยมิได้ ต่อมาเมื่อจำเลยแจ้งว่ารัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาไม่อนุมัติโจทก์ก็ได้ขอแก้ไขสัญญากับกองบัญชาการทหารสูงสุดขอส่งมอบสินค้ายี่ห้ออื่นแทน โดยอ้างว่าการส่งมอบชุดสแครมเบลอร์ยี่ห้อดาต้าคริพเตอร์ทูเป็นการพ้นวิสัยและกองบัญชาการทหารสูงสุดก็ยินยอม โดยไม่ถือเป็นความผิดของโจทก์ดังนี้จึงเห็นได้ว่าโจทก์เองก็ถือว่าการที่รัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาไม่อนุมัติให้บริษัทร.ส่งชุดสแครมเบลอร์ยี่ห้อดาต้าคริพเตอร์ทูออกนอกประเทศครั้งนี้จะถือเป็นความผิดของฝ่ายใดมิได้ และสาเหตุดังกล่าวก็อยู่นอกเหนืออำนาจของจำเลย ถือได้ว่าภายหลังจากที่ได้ก่อหนี้ขึ้นแล้ว การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยอันมิใช่ความผิดของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 219
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พ้นวิสัยจากเหตุสุดวิสัยนอกอำนาจจำเลย ไม่ต้องรับผิดชดใช้
จำเลยเป็นตัวแทนหรือนายหน้าของบริษัท ร. จำเลยได้ขายสินค้าให้โจทก์ ต่อมาโจทก์ได้ขายสินค้าดังกล่าวให้แก่กองบัญชาการทหารสูงสุดในขณะที่โจทก์ทำสัญญากับจำเลยนั้น โจทก์ได้รู้อยู่แล้วว่า การส่งสินค้าดังกล่าวต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาก่อน ซึ่งโจทก์ก็ได้ทำการขออนุมัติจากรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว ภายหลังเมื่อโจทก์เห็นว่า การรอคอยคำตอบจากรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นการล่าช้า โจทก์จึงได้ติดต่อสั่งซื้อสินค้าโดยตรงจากบริษัท ร. ต่อมาจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบว่า รัฐบาลประเทศสหรัฐ-อเมริกาไม่อนุญาตให้ส่งสินค้าออกนอกประเทศ โจทก์จึงได้ขอแก้สัญญากับกองบัญชาการทหารสูงสุด ขอส่งมอบสินค้ายี่ห้ออื่นแทน พฤติการณ์ทั้งหมดเห็นได้ว่าโจทก์เองก็ถือว่า การที่รัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาไม่อนุญาตให้บริษัท ร.ส่งสินค้าออกนอกประเทศครั้งนี้ ไม่อาจถือว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดได้ และสาเหตุดังกล่าวก็อยู่นอกเหนืออำนาจของจำเลย ถือได้ว่า ภายหลังจากที่ได้ก่อหนี้ขึ้นแล้ว การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยอันมิใช่ความผิดของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 219
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจากเหตุสุดวิสัยนอกเหนืออำนาจจำเลย ทำให้ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยเป็นตัวแทนหรือนายหน้าของบริษัท ร. จำเลยได้ขายสินค้าให้โจทก์ ต่อมาโจทก์ได้ขายสินค้าดังกล่าวให้แก่กองบัญชาการทหารสูงสุดในขณะที่โจทก์ทำสัญญากับจำเลยนั้น โจทก์ได้รู้อยู่แล้วว่า การส่งสินค้าดังกล่าวต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาก่อน ซึ่งโจทก์ก็ได้ทำการขออนุมัติจากรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว ภายหลังเมื่อโจทก์เห็นว่า การรอคอยคำตอบจากรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นการล่าช้า โจทก์จึงได้ติดต่อสั่งซื้อสินค้าโดยตรงจากบริษัทร. ต่อมาจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบว่า รัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาไม่อนุญาตให้ส่งสินค้าออกนอกประเทศ โจทก์จึงได้ขอแก้สัญญากับกองบัญชาการทหารสูงสุด ขอส่งมอบสินค้ายี่ห้ออื่นแทน พฤติการณ์ทั้งหมดเห็นได้ว่าโจทก์เองก็ถือว่า การที่รัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาไม่อนุญาตให้บริษัท ร.ส่งสินค้าออกนอกประเทศครั้งนี้ ไม่อาจถือว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดได้และสาเหตุดังกล่าวก็อยู่นอกเหนืออำนาจของจำเลย ถือได้ว่า ภายหลังจากที่ได้ก่อหนี้ขึ้นแล้ว การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยอันมิใช่ความผิดของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาทด้วยคำพูด: การกล่าวอ้างทำให้เสียชื่อเสียง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ตาม ป.อ. มาตรา326 จำคุก 1 เดือน ปรับ 500 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษเป็นให้ลงโทษปรับสถานเดียว จึงเป็นกรณีศาลอุทธรณ์แก้ไข-เล็กน้อย ฎีกาของจำเลยที่ว่าไม่ได้กล่าวถ้อยคำตามที่โจทก์กล่าวหา และฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรก
ข้อความที่จำเลยกล่าวต่อหน้าบุคคลอื่นว่า โจทก์จบด๊อกเตอร์ได้เพราะจำเลยเป็นผู้ส่งเสียทั้งหมด พอจบออกมาก็ไล่เตะลูกเมีย ทิ้งลูกทิ้งเมียไปหาเมียใหม่ เมียคนแรกถูกหลอกเกือบหมดตัว คนที่สองถูกหลอกเกลี้ยงตัวเลย นั้น น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาท
ข้อความที่จำเลยกล่าวต่อหน้าบุคคลอื่นว่า โจทก์จบด๊อกเตอร์ได้เพราะจำเลยเป็นผู้ส่งเสียทั้งหมด พอจบออกมาก็ไล่เตะลูกเมีย ทิ้งลูกทิ้งเมียไปหาเมียใหม่ เมียคนแรกถูกหลอกเกือบหมดตัว คนที่สองถูกหลอกเกลี้ยงตัวเลย นั้น น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษเล็กน้อย และการหมิ่นประมาทจากการกล่าวให้ผู้อื่นเข้าใจผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 จำคุก 1 เดือน ปรับ 500 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษเป็นให้ลงโทษปรับสถานเดียวจึงเป็นกรณีศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อย ฎีกาของจำเลยที่ว่าไม่ได้กล่าวถ้อยคำตามที่โจทก์กล่าวหา และฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ข้อความที่จำเลยกล่าวต่อหน้าบุคคลอื่นว่า โจทก์จบด๊อกเตอร์ได้เพราะจำเลยเป็นผู้ส่งเสียทั้งหมด พอจบออกมาก็ไล่เตะลูกเมียทิ้งลูกทิ้งเมียไปหาเมียใหม่ เมียคนแรกถูกหลอกเกือบหมดแล้วคนที่สองถูกหลอกเกลี้ยงตัวเลย นั้น น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1222/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมผูกพันคู่ความ แม้เป็นผู้เยาว์ หากไม่เคยอุทธรณ์คัดค้าน
โจทก์ในคดีนี้เป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 448/2529 ของศาลชั้นต้นมี ม. เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมดำเนินคดีแทน คดีดังกล่าวถึงที่สุดด้วยการประนีประนอมยอมความในศาล แม้โจทก์จะเป็นผู้เยาว์และการทำสัญญาประนีประนอมยอมความจะมิได้ขออนุญาตศาลก่อน คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ก็ย่อมผูกพันโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 หากโจทก์ไม่พอใจคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอย่างใดก็ชอบจะอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษา โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1177/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: พฤติการณ์โกรธเคือง การเตรียมอาวุธ และการลงมือ
โจทก์มีพยานจำนวน 2 ปากเบิกความว่าคืนก่อนวันเกิดเหตุ 1 วันจำเลยกับผู้ตายมีเรื่องทะเลาะกัน ผู้ตายเตะจำเลย 1 ครั้งแล้วก็เลิกรากันไป โดยสอดคล้องกับคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนว่าหลังจากจำเลยถูกผู้ตายเตะแล้วกลับบ้านนอนไม่หลับทั้งคืน รุ่งเช้าขึ้นจำเลยไปตามหาผู้ตายโดยไปพบผู้ตายอยู่กับเพื่อนที่ทุ่งนาและหาโอกาสยิงผู้ตาย พอเพื่อนผู้ตายลุกขึ้นออกไป จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทางด้านหลังจนถึงแก่ความตาย โดยมีพนักงานสอบสวนมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยให้การดังกล่าวด้วยความสมัครใจ และคำให้การของจำเลยที่สอดคล้องกับบาดแผลที่ถูกยิง ที่จำเลยต่อสู้ว่า อยู่กับผู้ตายสองต่อสองแล้วผู้ตายด่าจำเลยและท้าให้จำเลยยิง จำเลยบันดาลโทสะจึงยิงผู้ตายนั้น จำเลยมิได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนและจากคำเบิกความของพยานโจทก์อีก 2 ปากที่อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุก็ไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้ด่าว่าจำเลยแต่อย่างใด ข้อต่อสู้ของจำเลยดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยมีเรื่องโกรธเคืองกับผู้ตายมาก่อนแล้ว ต่อมาจำเลยมาตามหาผู้ตายโดยนำอาวุธปืนไปตั้งใจจะยิงผู้ตาย ซึ่งถือว่าจำเลยมีโอกาสคิดไตร่ตรองไว้ก่อนแล้วว่าจะฆ่าผู้ตายหรือไม่ เมื่อจำเลยไปพบผู้ตายและได้โอกาสก็ยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1091/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้อนและการซื้อขายที่ดินผิดแปลง ศาลฎีกาตัดสินว่าการฟ้องสำนวนหลังไม่เป็นการฟ้องซ้อน
คำฟ้องสำนวนแรกโจทก์อ้างการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทด้วยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1382 อันเป็นการกล่าวอ้างการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยนิติเหตุ ส่วนคำฟ้องสำนวนหลังโจทก์อ้างการได้มาโดยการที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกล่าวอ้างการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยทางนิติกรรม ถึงแม้คำขอของโจทก์ทั้งสองสำนวนจะเป็นอย่างเดียวกันคือขอให้เปลี่ยนชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ก็ตาม เมื่อคำฟ้องในสำนวนคดีหลังข้ออ้างที่จะต้องวินิจฉัย ไม่ใช่อย่างเดียวกันกับข้ออ้างในคำฟ้องสำนวนแรก จึงถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่เป็นการยื่นฟ้องในเรื่องเดียวกันอันจะถือว่าเป็นการฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) จำเลยที่ 1 ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 5178 แก่โจทก์ และขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2799 แก่จำเลยที่ 2 แต่ได้มีการโอนที่ดินในโฉนดผิดแปลงกัน การที่โจทก์กับจำเลยที่ 2 รับโอนโฉนดที่ดินสลับกันมาเป็นเพราะความเข้าใจผิด แต่โจทก์และจำเลยที่ 2 ได้ครอบครองที่ดินถูกต้องตลอดมา ศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดที่ถูกต้องได้