พบผลลัพธ์ทั้งหมด 615 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5325/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คคืนเนื่องจากผิดสัญญาซื้อขาย การบอกเลิกสัญญายังไม่ถึงที่สุด ไม่ทำให้หนี้ตามเช็คสิ้นผลผูกพัน
จำเลยและภริยาทำสัญญาซื้อขายที่ดิน พร้อมกิจการ รวมทั้งอุปกรณ์การผลิตและจำหน่ายทรายจากโจทก์ โดยชำระราคาด้วยเงินสดบางส่วน ส่วนที่เหลือชำระด้วยเช็คซึ่งมีเช็คพิพาทของจำเลยอยู่ด้วย โจทก์ได้โอนและมอบทรัพย์สินตามสัญญาดังกล่าวแก่จำเลยและภริยาแล้วตั้งแต่ก่อนเช็คพิพาทถึงกำหนดใช้เงิน แต่เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งด้วยเรื่องผิดสัญญาซื้อขาย ซึ่งเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องในทางแพ่ง แม้จำเลยยังมีข้อต่อสู้คดีอยู่ ไม่แน่นอนว่าศาลจะพิพากษาคดีเป็นประการใดการบอกเลิกสัญญาชอบหรือไม่ และคดียังไม่ถึงที่สุด กรณีจึงแตกต่างจากการที่คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลพิพากษาตามยอมและคดีถึงที่สุดแล้ว จึงถือไม่ได้ว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทที่จำเลยออกให้แก่โจทก์เพื่อให้ใช้เงินสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงยังไม่เลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 เมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5325/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาทกับการบอกเลิกสัญญาซื้อขาย: ความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค ยังคงมีอยู่
จำเลยและภริยาทำสัญญาซื้อขายที่ดิน พร้อมกิจการ รวมทั้งอุปกรณ์การผลิตและจำหน่ายทรายจากโจทก์ โดยชำระราคาด้วยเงินสดบางส่วน ส่วนที่เหลือชำระด้วยเช็คซึ่งมีเช็คพิพาทของจำเลยอยู่ด้วย โจทก์ได้โอนและมอบทรัพย์สินตามสัญญาดังกล่าวแก่จำเลยและภริยาแล้วตั้งแต่ก่อนเช็คพิพาทถึงกำหนดใช้เงิน แต่เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งด้วยเรื่องผิดสัญญาซื้อขาย ซึ่งเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องในทางแพ่ง แม้จำเลยยังมีข้อต่อสู้คดีอยู่ ไม่แน่นอนว่าศาลจะพิพากษาคดีเป็นประการใดการบอกเลิกสัญญาชอบหรือไม่ และคดียังไม่ถึงที่สุด กรณีจึงแตกต่างจากการที่คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลพิพากษาตามยอมและคดีถึงที่สุดแล้ว จึงถือไม่ได้ว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทที่จำเลยออกให้แก่โจทก์เพื่อให้ใช้เงินสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงยังไม่เลิกกันตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 เมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5156/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้มูลละเมิด ผู้รับประกันภัยรับช่วงสิทธิฟ้องได้ทันที ไม่ต้องทวงถาม และข้อจำกัดการยกเหตุแปลงหนี้ใหม่
หนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาตั้งแต่เวลาที่ทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 206 เจ้าหนี้หาจำต้องเตือนหรือทวงถามก่อนไม่ เจ้าของรถผู้ถูกกระทำละเมิดย่อมเป็นเจ้าหนี้ ชอบที่จะฟ้องผู้ขับรถที่ทำละเมิดนั้นได้เลยโดยไม่ต้องทวงถามให้ใช้ค่าเสียหายก่อน ผู้รับประกันภัยซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้วชอบที่จะเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยผู้เป็นเจ้าหนี้ได้ และชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 226 และ 880 การที่ ก. ผู้เอาประกันภัยทำความตกลงกับจำเลยผู้ขับรถชนให้นำรถยนต์เข้าซ่อมที่อู่ของ ส.แต่ก.ได้ให้ส. ซ่อมส่วนที่เสียหายอย่างอื่นที่มีอยู่ก่อนเกิดเหตุด้วยทำให้ระยะเวลาในการซ่อมเนิ่นนานออกไปอันทำให้โจทก์ผู้รับประกันภัยต้องเข้ามาดำเนินการซ่อมต่ออีกครั้งหนึ่งก็ดี และการที่ ก. ตกลงกับจำเลยให้นำรถยนต์เข้าซ่อมดังกล่าวเป็นการผิดข้อตกลงกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งโจทก์มีสิทธิบอกปัดไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ ก. ก็ได้แต่โจทก์กลับยอมตนเข้าชดใช้ค่าเสียหายโดยเสี่ยงภัยเอาเอง อันเป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีสิทธิเข้ารับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเอาจากจำเลยได้ก็ดีนั้น หาใช่ข้อต่อสู้ในเรื่องแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ใหม่ปัญหาดังกล่าวจำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นทั้งไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยจะยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้ให้ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5012/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงลายมือชื่อในเอกสารรับทราบหนี้ ไม่ถือเป็นความร่วมกระทำความผิด พ.ร.บ.เช็ค หากไม่มีส่วนร่วมในการออกเช็ค
แม้บันทึกการชำระค่าสินค้า มีข้อความว่า บริษัทจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 3 กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนและในฐานะส่วนตัวได้ชำระค่าสินค้าวัสดุก่อสร้างและค่าขนส่งที่ยัง ค้างชำระให้แก่บริษัทโจทก์โดยชำระเป็นเช็ค 5 ฉบับ ตามที่ ระบุไว้ ซึ่งมีเช็คพิพาทรวมอยู่ด้วย และท้ายบันทึกมีลายมือชื่อ จำเลยที่ 3 ลงไว้ในช่องผู้ทำบันทึกพร้อมประทับตราสำคัญของ จำเลยที่ 1 และตามใบสำคัญการจ่ายมีข้อความระบุว่าเป็นใบสำคัญ การจ่ายของบริษัทจำเลยที่ 1 ที่ชำระค่าสินค้าบางส่วนโดย เช็คพิพาทให้แก่บริษัทโจทก์ ซึ่งตอนท้ายเอกสารมีลายมือชื่อจำเลยที่ 3 ก็ตาม เอกสารดังกล่าวก็เป็นแต่เพียงบันทึกที่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ยอมรับว่า เป็นหนี้โจทก์และบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คชำระหนี้โจทก์ จำนวน 5 ฉบับ ซึ่งมีเช็คพิพาทรวมอยู่ด้วยเท่านั้น การที่จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวโดยจำเลยที่ 3ไม่มีส่วนร่วมในการออกเช็คพิพาท ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3ได้ร่วมกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจาก การใช้เช็ค พ.ศ. 2534
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5012/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงลายมือชื่อรับสภาพหนี้ ไม่ถือเป็นความผิด พ.ร.บ. เช็ค หากไม่มีส่วนร่วมออกเช็ค
แม้บันทึกการชำระค่าสินค้า มีข้อความว่า บริษัทจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนและในฐานะส่วนตัวได้ชำระค่าสินค้าวัสดุก่อสร้างและค่าขนส่งที่ยังค้างชำระให้แก่บริษัทโจทก์โดยชำระเป็นเช็ค 5 ฉบับ ตามที่ระบุไว้ ซึ่งมีเช็คพิพาทรวมอยู่ด้วย และท้ายบันทึกมีลายมือชื่อจำเลยที่ 3 ลงไว้ในช่องผู้ทำบันทึกพร้อมประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 และตามใบสำคัญการจ่ายมีข้อความระบุว่าเป็นใบสำคัญการจ่ายของบริษัทจำเลยที่ 1 ที่ชำระค่าสินค้าบางส่วนโดยเช็คพิพาทให้แก่บริษัทโจทก์ ซึ่งตอนท้ายเอกสารมีลายมือชื่อจำเลยที่ 3 ก็ตาม เอกสารดังกล่าวก็เป็นแต่เพียงบันทึกที่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์และบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คชำระหนี้โจทก์จำนวน 5 ฉบับ ซึ่งมีเช็คพิพาทรวมอยู่ด้วยเท่านั้น การที่จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวโดยจำเลยที่ 3ไม่มีส่วนร่วมในการออกเช็คพิพาท ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกระทำความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4496/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินในคดีล้มละลาย: การโอนที่ดินโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนไม่เข้าข่ายการเพิกถอน
พฤติการณ์รับฟังไม่ได้ว่า การโอนขายที่ดินพิพาทเกิดจากการสมยอมระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้คัดค้านที่ 1 พยานหลักฐานของผู้คัดค้านทั้งสามน่าเชื่อว่าผู้คัดค้านที่ 1รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน แม้จำเลยที่ 2 จะโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ก่อนจะถูกโจทก์ฟ้องขอให้ล้มละลายประมาณ 2 เดือนก็ตามผู้ร้องหาอาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2กับผู้คัดค้านที่ 1 ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 114 ได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 รับโอนที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 2 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ผู้คัดค้านที่ 1 ย่อมมีสิทธิโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 ได้โดยชอบ แม้การโอนจะได้กระทำขึ้นภายหลังมีการขอให้จำเลยที่ 2 ล้มละลายผู้ร้องก็ไม่มีอำนาจเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4473/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของหุ้นส่วนผู้จัดการในหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดและการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1077(2) และ 1087 ระบุว่าผู้เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้ของห้างโดยไม่จำกัดจำนวน และผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการในห้างหุ้นส่วนจำกัดจะมีได้เฉพาะหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้น ดังนั้น เมื่อหนี้ที่เจ้าหนี้นำมาขอรับชำระเป็นหนี้ของลูกหนี้ที่ 1 ซึ่งลูกหนี้ที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้ของลูกหนี้ที่ 1 โดยไม่จำกัดจำนวน อีกทั้งเมื่อเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคดีแพ่งมาฟ้องให้ลูกหนี้ทั้งสองล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และพิพากษาให้ล้มละลายแล้ว เจ้าหนี้จึงนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาขอรับชำระหนี้จากทั้งลูกหนี้ที่ 1 และลูกหนี้ที่ 2 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4257/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินที่ได้จากการจำหน่ายยาเสพติด ต้องมีพยานหลักฐานยืนยันแหล่งที่มาของเงิน หากจำเลยปฏิเสธการจำหน่าย ศาลต้องฟังพยานหลักฐานอื่นประกอบ
จำเลยให้การรับสารภาพว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง เพื่อเสพ แต่ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ตามที่โจทก์ฟ้อง มีผลเท่ากับจำเลยให้การปฏิเสธรวมไปถึง เงินจำนวน 800 บาท ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้มาจากการจำหน่าย เมทแอมเฟตามีนจำนวนอื่นด้วยนั่นเอง รูปคดีทำให้โจทก์ มีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมานำสืบให้ได้ความชัดว่าเงินจำนวน 800 บาท นั้นจำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวนอื่นจริงดังที่โจทก์อ้าง แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใด นอกจากอ้างถึงคำรับของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวนเท่านั้น ซึ่งข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวจำเลยได้ให้การปฏิเสธ และเบิกความปฏิเสธในชั้นพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสิ้น โดยที่โจทก์ไม่สามารถถามค้านเพื่อให้เห็นเป็นอย่างอื่นได้ เพียงเท่านี้คดีโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าเงินจำนวน 800 บาท เป็นเงินที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวนอื่นดังที่โจทก์อ้าง จึงริบไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3900/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมและการค้นตัวผู้ต้องหาหญิงโดยเจ้าพนักงานตำรวจชาย การฎีกาเรื่องการจับกุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้หยิบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการขาย ซึ่งใส่ถุงพลาสติกซ่อนในเสื้อชั้นในออกมามอบให้เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมเอง การที่จำเลยฎีกาว่า เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมเป็นผู้ค้นตัวจำเลยซึ่งเป็นหญิงโดยมิได้ให้หญิงอื่นเป็นผู้ค้น เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายเป็นเหตุให้การจับกุมและสอบสวนไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.อ มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3900/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมและค้นตัวผู้ต้องหาหญิง: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟัง
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้หยิบ เมทแอมเฟตามีน ที่เหลือจากการขาย ซึ่งใส่ถุงพลาสติกซ่อนในเสื้อชั้นในออกมา มอบให้เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมเอง การที่จำเลยฎีกาว่า เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมเป็น ผู้ค้นตัวจำเลยซึ่งเป็นหญิงโดยมิได้ให้หญิงอื่นเป็นผู้ค้น เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายเป็นเหตุให้การจับกุมและสอบสวนไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง