คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 797

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 887 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4161/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดความรับผิดนายประกันตามกฎหมายเช็ค, เจตนาแท้จริงของตัวแทน, และขอบเขตความรับผิดของตัวแทน
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 5(2) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมตามประกาศของ คณะปฏิวัติฉบับที่ 196 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2515 เป็นบทบัญญัติ จำกัดอำนาจของพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการซึ่งมีอยู่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 112 ในอันที่ จะกำหนดจำนวนเงินตามที่เห็นสมควรให้นายประกันชดใช้เมื่อ มีการผิดสัญญาประกัน ในคดีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โดยให้พนักงานสอบสวนหรือ พนักงานอัยการกำหนดจำนวนเงินที่นายประกันจะต้องชดใช้เมื่อมี การผิดสัญญาประกันเพียงไม่เกินจำนวนเงินตามเช็ค ดังนั้นการที่พนักงานสอบสวนในคดีนี้สั่งปล่อยชั่วคราวโดยกำหนดให้นายประกันใช้เงิน 600,000 บาท เมื่อมีการผิดสัญญาประกันซึ่งเกินกว่าจำนวนเงินตามเช็คซึ่งมีเพียง 500,000 บาท เป็นแต่เพียงการกระทำที่เกินอำนาจของพนักงานสอบสวนจึงใช้บังคับนายประกันได้เพียงเท่าที่กฎหมายให้อำนาจไว้ คือเท่าจำนวนเงินในเช็ค มิใช่ตกเป็นโมฆะเสียทั้งหมด เพราะสัญญาประกันดังกล่าวไม่ได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายแต่อย่างใด ตามหนังสือมอบอำนาจมีข้อความระบุว่า มอบให้จำเลยที่ 1เป็นผู้มีอำนาจจัดการประกันตัวผู้ต้องหา โดยนำโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 2 เป็นประกันและให้จำเลยที่ 1 ให้ถ้อยคำต่าง ๆแก่เจ้าหน้าที่แทนด้วย แม้จำเลยที่ 1 จะเข้าทำสัญญาประกันในนามตนเอง มิได้ระบุว่ากระทำการแทนจำเลยที่ 2 ก็ตามแต่ในการตีความแสดงเจตนานั้นให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษรทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 132 เดิม แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาขอประกันตัวผู้ต้องหาแทนจำเลยที่ 2ตามที่ได้รับมอบอำนาจมา หาได้กระทำการเป็นส่วนตัวแต่อย่างใดไม่ ประกอบกับการมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันผู้ต้องหารายนี้จะต้องมีหลักประกัน และจำเลยที่ 1 ก็ได้ทำสัญญาประกันโดยมอบหลักประกันของจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ยึดถือไว้ แสดงว่าจำเลยที่ 1 จะขอประกันเป็นการส่วนตัวหาได้ไม่ เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีหลักทรัพย์เป็นประกันย่อมถือได้ว่าสัญญาประกันรายนี้จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 2 เท่านั้น จำเลยที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนหาต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วยไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามฟ้องได้ แต่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ กรณีจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาคดีให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายให้จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4161/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจจำกัดการเรียกหลักประกันจากนายประกัน และความรับผิดของตัวแทนในการประกันตัว
ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497 มาตรา 5 (2) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 196ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2515 เป็นบทบัญญัติจำกัดอำนาจของพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการซึ่งมีอยู่ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 112 ในอันที่จะกำหนดจำนวนเงินตามที่เห็นสมควรให้นายประกันชดใช้เมื่อมีการผิดสัญญาประกัน ในคดีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โดยให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการกำหนดจำนวนเงินที่นายประกันจะต้องชดใช้เมื่อมีการผิดสัญญาประกันเพียงไม่เกินจำนวนเงินตามเช็ค ดังนั้น การที่พนักงานสอบสวนในคดีนี้สั่งปล่อยชั่วคราวโดยกำหนดให้นายประกันใช้เงิน 600,000 บาท เมื่อมีการผิดสัญญาประกัน ซึ่งเกินกว่าจำนวนเงินตามเช็คซึ่งมีเพียง 500,000 บาท เป็นแต่เพียงการกระทำที่เกินอำนาจของพนักงานสอบสวนจึงใช้บังคับนายประกันได้เพียงเท่าที่กฎหมายให้อำนาจไว้ คือเท่าจำนวนเงินในเช็ค มิใช่ตกเป็นโมฆะเสียทั้งหมด เพราะสัญญาประกันดังกล่าวไม่ได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายแต่อย่างใด
ตามหนังสือมอบอำนาจมีข้อความระบุว่า มอบให้จำเลยที่ 1เป็นผู้มีอำนาจจัดการประกันตัวผู้ต้องหา โดยนำโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 2 เป็นประกันและให้จำเลยที่ 1 ให้ถ้อยคำต่าง ๆ แก่เจ้าหน้าที่แทนด้วย แม้จำเลยที่ 1จะเข้าทำสัญญาประกันในนามตนเอง มิได้ระบุว่ากระทำการแทนจำเลยที่ 2 ก็ตามแต่ในการตีความแสดงเจตนานั้นให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษรทั้งนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 132 เดิม แสดงว่าจำเลยที่ 1มีเจตนาขอประกันตัวผู้ต้องหาแทนจำเลยที่ 2 ตามที่ได้รับมอบอำนาจมา หาได้กระทำการเป็นส่วนตัวแต่อย่างใดไม่ ประกอบกับการมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันผู้ต้องหารายนี้จะต้องมีหลักประกัน และจำเลยที่ 1 ก็ได้ทำสัญญาประกันโดยมอบหลักประกันของจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ยึดถือไว้ แสดงว่าจำเลยที่ 1 จะขอประกันเป็นการส่วนตัวหาได้ไม่ เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีหลักทรัพย์เป็นประกันย่อมถือได้ว่าสัญญาประกันรายนี้จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 2 เท่านั้นจำเลยที่ 1 เป็นเพียงตัวแทนหาต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วยไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามฟ้องได้ แต่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ กรณีจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 1จะไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาคดีให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายให้จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3901/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย: การมอบอำนาจให้ทนายความลงลายมือชื่อในคำขอ
ตามหนังสือมอบอำนาจโจทก์ได้มอบอำนาจให้ น. เป็นผู้ยื่นด้วยขอรับชำระหนี้ และดำเนินกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายนี้แทน ฯลฯฉะนั้น น. จึงมีสิทธิที่จะดำเนินคดีเรื่องนี้แทนโจทก์ได้ตลอดทั้งการขอรับชำระหนี้ด้วย เพราะการขอชำระหนี้เป็นเรื่องของกระบวนพิจารณาที่โจทก์จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดตามมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483การที่ น. ลงลายมือชื่อในคำขอรับชำระหนี้หาใช่เป็นการลงลายมือแทนโจทก์ไม่ หากแต่เป็นการกระทำแทนโจทก์ซึ่งเป็นตัวการตามที่ได้รับมอบหมายให้ทำการขอรับชำระหนี้แทนตามหนังสือมอบอำนาจ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3793/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมให้หักเงินเดือนเพื่อชดใช้หนี้ ไม่ถือเป็นการโอนสิทธิเรียกร้อง เจ้าหนี้ไม่อาจอายัดเงินได้
การที่ ส. ทำหนังสือยินยอมให้กองคลัง สำนักพระราชวังหักเงินเดือนของตนส่งชดใช้หนี้ให้แก่จำเลย มีผลเท่ากับ ส.มอบอำนาจให้จำเลยรับเงินเดือนแทนตนเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่จำเลย เพราะสิทธิที่จะรับเงินเดือนของข้าราชการนั้นโอนกันไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมจะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินตามหนังสือดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3793/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมให้หักเงินเดือนชดใช้หนี้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง สิทธิรับเงินเดือนข้าราชการโอนไม่ได้
บุคคลภายนอกทำหนังสือยินยอมให้หักเงินเดือนส่งใช้หนี้แก่จำเลย มีผลเท่ากับมอบอำนาจให้จำเลยรับเงินเดือนแทน ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่จำเลย เพราะสิทธิรับเงินเดือนของข้าราชการโอนกันไม่ได้ โจทก์จึงขออายัดเงินตามหนังสือยินยอมดังกล่าวไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3694/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจกรรมการ-ผลผูกพันสัญญา: แม้ไม่มีตราบริษัท แต่ผลงานรับไปแล้วถือเป็นตัวแทน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนเอกสารท้ายฟ้องจำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างต่อเติมตึกแถวตามฟ้องโดยแนบเอกสาร การว่าจ้างมีลายมือชื่อผู้สั่งจ้างมาท้ายฟ้อง ดังนั้นกรรมการบริษัทจำเลยซึ่งมีอำนาจว่าจ้างโจทก์แทนจำเลยจะเป็นใครก็ต้องเป็นไปตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนซึ่งอาจจะมีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงผู้เป็นกรรมการภายหลังได้ จึงเป็นรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบในชั้นพิจารณาได้ว่า ในขณะจำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ผู้ใดเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำแทนจำเลย จำเลยให้การต่อสู้ว่าบริษัทจำเลยมี ป. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำแทน จำเลยไม่เคยตกลงว่าจ้างโจทก์ต่อเติมตึกแถวตามฟ้องเห็นได้ว่าจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ท.กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ต่อเติมตึกแถวของจำเลย ท.ได้ลงชื่อสั่งจ้างในเอกสารหมาย จ.7โดยมีวงเล็บชื่อของบริษัทจำเลยไว้ใต้ลายมือชื่อของตน แม้จะลงชื่อโดยมิได้ประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยตามข้อบังคับที่จดทะเบียนไว้ซึ่งอาจไม่สมบูรณ์ในฐานะเป็นผู้แทนของบริษัทจำเลย แต่จำเลยได้รับเอาผลงานที่โจทก์ได้ทำตามสัญญาดังกล่าวทั้งหมดและได้ขายตึกแถวไปแล้ว ถือได้ว่า ท. ทำสัญญาว่าจ้างในฐานะเป็นตัวแทนของบริษัทจำเลย มิใช่ ท.ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์เป็นส่วนตัว สัญญาดังกล่าวจึงมีผลผูกพันจำเลยซึ่งเป็นตัวการ แม้ ท. จะออกเช็คส่วนตัวชำระค่าก่อสร้างบางส่วนแก่โจทก์ก็ตาม ก็เป็นเรื่องของ ท. กับจำเลยไม่เกี่ยวกับโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก สัญญาว่าจ้างต่อเติมตึกแถวเป็นสัญญาจ้างทำของ ไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ ดังนั้นในขณะฟ้องคดีโจทก์จึงไม่จำเป็นต้องอ้างอิงเอกสารแสดงการว่าจ้างเป็นหลักฐานแห่งคำฟ้อง เมื่อเอกสารนี้ได้มีการปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์ก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว ก็สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2740/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ผ่านตัวแทนโดยชอบ แม้ไม่มีหลักฐานการแจ้งการชำระหนี้ให้ผู้รับเงินกู้ทราบโดยตรง ก็ถือเป็นการชำระหนี้ที่สมบูรณ์
โจทก์เขียนข้อความในนามบัตรถึงจำเลยที่ 1 ว่า เรื่องเงินที่คุณกู้ไปนั้นขอให้ฝาก ป. ไปให้ผม ตกลงอย่างไรเขียนหนังสือฝากป. ไปด้วย ถ้าจะชำระให้ทั้งหมดก็แจ้งให้ผมไปรับเอง ถ้าจะผ่อนชำระผมให้ ป. มารับจากคุณและเขียนหนังสือบอกผมด้วย นามบัตรดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานเป็นหนังสือตั้งให้ ป. เป็นตัวแทนโจทก์ในการรับชำระหนี้เงินกู้จากจำเลยที่ 1 ส่วนข้อความที่ว่าตกลงอย่างไรเขียนหนังสือฝาก ป. ไปด้วยก็ดี และเขียนหนังสือบอกผมด้วยก็ดีเป็นเพียงคำขอร้อง ของ โจทก์มีถึงจำเลยที่ 1 มิใช่เป็นเงื่อนไขในการมอบอำนาจให้ ป. รับชำระหนี้แทน การที่จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้โจทก์ให้ ป.รับไป โดยมิได้เขียนหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบจึงเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้ให้โจทก์โดยชอบ ป. ตัวแทนโจทก์ทำหนังสือว่าได้รับชำระหนี้เงินกู้จากจำเลยที่ 1 ครบถ้วนแล้ว และลงชื่อ ป. ไว้เป็นหลักฐาน จึงเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อตัวแทนของโจทก์ผู้ให้กู้ที่แสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง แล้ว ไม่จำต้องรับเวนคืนสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2740/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ผ่านตัวแทนและการครบถ้วนของการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โจทก์เขียนข้อความในนามบัตรถึงจำเลยที่ 1 ว่า "เรื่องเงินที่คุณกู้ไปนั้นขอให้ฝาก ป. ไปให้ผม ตกลงอย่างไรเขียนหนังสือฝาก บ. ไปด้วย ถ้าจะชำระให้ทั้งหมดก็แจ้งให้ผมไปรับเองถ้าจะผ่อนชำระผมให้ บ. มารับจากคุณและเขียนหนังสือบอกผมด้วย" นามบัตรดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานเป็นหนังสือแต่งตั้งให้ บ.เป็นตัวแทนโจทก์ในการรับชำระหนี้เงินกู้รายนี้ ส่วนข้อความที่ว่าตกลงอย่างไรเขียนหนังสือฝาก บ. ไปด้วยก็ดี และเขียนหนังสือบอกผมด้วยก็ดี เป็นเพียงคำขอร้อง ของ โจทก์มีถึงจำเลยที่ 1มิใช่เงื่อนไขในการมอบอำนาจให้ บ. รับชำระหนี้แทน การที่จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้โจทก์ให้ บ. รับไป โดยมิได้เขียนหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบ จึงเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้ให้โจทก์โดยชอบ บ. ตัวแทนโจทก์ทำหนังสือว่าได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1ครบถ้วนแล้ว และลงชื่อ บ. ไว้เป็นหลักฐาน ถือเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อตัวแทนของโจทก์ผู้ให้กู้ที่แสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์ครบถ้วน ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง แล้ว หาจำต้องรับเวนคืนสัญญากู้ยืมจากโจทก์อีกไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2704/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เลตเตอร์ออฟเครดิต: การชำระหนี้ค่าสินค้าโดยตัวแทน ธนาคารมีหน้าที่ชำระเงินให้ผู้ขาย
ธนาคาร อ. ในต่างประเทศซึ่งเป็นผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตได้ให้ธนาคาร ย. ตัวแทนในประเทศของตนเป็นผู้แจ้งมายังธนาคารโจทก์เพื่อขอให้ธนาคารโจทก์แจ้งเลตเตอร์ออฟเครดิตให้จำเลยทราบซึ่งธนาคารโจทก์ก็ได้ดำเนินการให้รวมทั้งรับเป็นผู้ตรวจสอบเอกสารและรับตั๋วแลกเงินซึ่งจำเลยผู้ขายได้ออกภายใต้เลตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าวด้วย หลังจากนั้นจึงได้รวบรวมส่งไปให้ธนาคาร อ.ผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต การกระทำของธนาคารโจทก์ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นตัวแทนของธนาคาร อ. แล้ว โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์โดยอ้างว่าจำเลยได้นำตั๋วแลกเงินที่ออกภายใต้เลตเตอร์ออฟเครดิตของธนาคาร อ. มาตกลงทำสัญญาซื้อขายเงินตราล่วงหน้ากับโจทก์และต่อมาตั๋วแลกเงินดังกล่าวเรียกเก็บเงินไม่ได้ เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยขายตั๋วแลกเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้อง โจทก์จึงไม่อาจฟ้องเรียกราคาที่อ้างว่าได้ชำระให้จำเลยตามตั๋วแลกเงินไปแล้วคืนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2704/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนเลตเตอร์ออฟเครดิต: การกระทำของธนาคารในฐานะตัวแทนผู้เปิด L/C และการชำระหนี้
จำเลยเป็นผู้ขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อในต่างประเทศ และเป็นผู้รับประโยชน์ตามเลตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารในต่างประเทศเป็นผู้เปิดตามคำขอของผู้ซื้อ ส่วนโจทก์เป็นธนาคารในประเทศผู้แจ้งการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้จำเลยทราบ การที่โจทก์ไม่เพียงทำหน้าที่ดังกล่าว แต่โจทก์ยังรับเอกสารประกอบการส่งสินค้าจากจำเลยไว้ตรวจสอบรวมทั้งรับตั๋วแลกเงินที่จำเลยสั่งจ่ายตามเลตเตอร์ออฟเครดิตไว้แล้วรวบรวมส่งไปยังธนาคารผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต แม้ขณะโจทก์รับตั๋วแลกเงินไว้จากจำเลย จำเลยจะทำสัญญาซื้อขายเงินตราตามตั๋วแลกเงินล่วงหน้าไว้ แต่สัญญาดังกล่าวไม่มีข้อตกลงหรือเงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระราคาทั้งโจทก์ไม่ได้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินให้แก่จำเลยทันที โจทก์กลับรอให้ตั๋วแลกเงินถึงกำหนดชำระและโจทก์ได้รับแจ้งจากธนาคารผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตว่า ธนาคารดังกล่าวส่งเงินตามตั๋วแลกเงินเข้าบัญชีของโจทก์แล้ว โจทก์จึงจ่ายเงินให้แก่จำเลย กรณีจึงไม่เป็นการซื้อขายตั๋วแลกเงินดังโจทก์อ้างการกระทำของโจทก์เข้าลักษณะเป็นตัวแทนธนาคารผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตในต่างประเทศ.
of 89