พบผลลัพธ์ทั้งหมด 139 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1267/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมคบกันโทรมหญิง: การกระทำต่อเนื่องโดยหลายคนเข้าข่ายความผิด
จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเสร็จแล้วออกจากห้องไป ว.เข้าไปข่มขืนกระทำชำเราต่อ เสร็จแล้วจำเลยเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราอีก หลังจากนั้น ว. เข้ามาข่มขืนกระทำชำเราอีกสลับกันไปการข่มขืนกระทำชำเราในลักษณะเช่นนี้ แม้ว่าผู้กระทำมิได้อยู่ในห้องในขณะที่คนหนึ่งข่มขืนกระทำชำเราอยู่ แต่จำเลยกับพวกได้กระทำในลักษณะติดต่อกัน จึงเป็นการสมคบกันกระทำผิดอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1267/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราสลับกันเป็นกลุ่ม สมคบกันโทรมหญิง ลดโทษตามอายุ
จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเสร็จแล้วออกจากห้องไปว. เข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อจนเสร็จ แล้วจำเลยเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีก หลังจากนั้น ว. เข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีกสลับกันไป การข่มขืนกระทำชำเราในลักษณะเช่นนี้ แม้ว่าผู้กระทำมิได้อยู่ในห้องในขณะที่คนหนึ่งข่มขืนกระทำชำเราอยู่ แต่จำเลยกับพวกได้กระทำในลักษณะติดต่อกันเป็นการสมคบกันกระทำผิดอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 996/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษผู้กระทำผิดอายุไม่เกิน 17 ปีตามมาตรา 75 เป็นอัตราที่กฎหมายบังคับ และเป็นปัญหาความสงบเรียบร้อย
การลดมาตราส่วนโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดซึ่งอายุไม่เกิน17 ปี กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 นั้น เป็นเรื่องที่กฎหมายบังคับโดยเด็ดขาด ไม่อยู่ในดุลพินิจของศาล และเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 3 ไม่ได้อุทธรณ์มา ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นพิจารณาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 947/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร: พฤติการณ์เลี้ยงดูเป็นภรรยา ไม่เข้าข่ายความผิด
จำเลยพาผู้เสียหายไปกินอยู่หลับนอนกันที่บ้านจำเลย โดยผู้เสียหายยินยอมระหว่างพักอยู่ร่วมกับจำเลย ผู้เสียหายช่วยทำงานบ้านและได้เงินใช้จ่ายจากจำเลย ทั้งจำเลยไม่มีภรรยา เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยตั้งใจจะเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็นภรรยา มิใช่จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 947/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาเลี้ยงดูเป็นภรรยา ไม่ใช่พรากผู้เยาว์
จำเลยพาผู้เสียหายไปกินอยู่หลับนอนกันที่บ้านจำเลย โดยผู้เสียหายยินยอมระหว่างพักอยู่ร่วมกับจำเลย ผู้เสียหายช่วยทำงานบ้านและได้เงินใช้จ่ายจากจำเลย ทั้งจำเลยไม่มีภรรยา เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยตั้งใจจะเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็นภรรยา มิใช่จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 916/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ – การจัดการทรัพย์สิน – สิทธิของผู้บรรลุนิติภาวะ – การพิสูจน์ความสามารถ
แม้ผู้คัดค้านชอบดื่มและเมาสุราก็ตาม แต่ก็คงเพียงบางเวลาเท่านั้น และไม่ถึงขนาดครองสติไม่ได้ ในเวลาที่ไม่เมาสุราก็ยังสามารถประกอบกิจการงานได้ด้วยตนเองเช่นคนปกติทั่วไป ผู้คัดค้านยืนยันว่าสามารถปกครองทรัพย์สินของตนเอง ทั้งยังได้ความว่าพนักงานอัยการได้ฟ้องผู้ร้องในข้อหายักยอกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของผู้คัดค้าน ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านไม่สามารถจัดทำการงานของตนเองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 34 เดิม (ปัจจุบันมาตรา 32) ผู้คัดค้านเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้วย่อมมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะจัดการทรัพย์สินของตนเองได้ตามลำพัง ไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จะมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 840/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญา: พยานที่เบิกความนอกศาลและคำรับสารภาพที่ถูกโต้แย้ง
พยานโจทก์เข้าเบิกความในคดีอีกสำนวนหนึ่งก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรวมพิจารณาพิพากษากับคดีนี้โดยที่โจทก์ไม่สามารถนำตัวพยานปากนี้มาเบิกความอีกได้จนศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตัดพยานปากนี้การเบิกความของพยานปากนี้จึงมิได้กระทำต่อหน้าจำเลยในคดีนี้ไม่อาจรับฟังเพื่อวินิจฉัยคดีในทางเป็นโทษสำหรับจำเลยในคดีนี้ได้ คำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณาย่อมเป็นพยานชั้นหนึ่งชอบที่ศาลจะรับฟังคำเบิกความในชั้นพิจารณาเป็นสำคัญ คำให้การชั้นสอบสวนของพยานปากนั้นซึ่งเป็นพยานชั้นสอง จึงมีน้ำหนักน้อย จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า จำเลยเดินตามหลังผู้ตายกับกลุ่มพวกจำเลยไปห่าง ๆ ต่อมากลุ่มผู้ตายกับกลุ่มพวกจำเลยเข้าทำร้ายซึ่งกันและกัน ผู้ตายจะเข้าทำร้ายน้องชายจำเลย จำเลยจึงเข้าไปช่วยและได้ชกทำร้ายผู้ตายไป 1 ครั้ง และพวกในกลุ่มพวกจำเลยจึงเข้ามาช่วยไล่ชกไล่ตีกลุ่มผู้ตาย จำเลยไม่ได้ติดตามไปด้วยหากแต่เดินเข้าบ้านไป คำให้การของจำเลยเช่นนี้ยังไม่พอฟังว่าจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกันฆ่าผู้ตายดังที่โจทก์นำสืบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 820/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการจ่ายค่าทดแทนเวนคืน: เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตาม พรบ.เวนคืน ไม่ใช่ผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกา
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530มาตรา 10 ได้กำหนดอำนาจของเจ้าหน้าที่หรือผู้ได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่ให้มีอำนาจตกลงซื้อขาย กำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ และจ่ายค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเห็นได้ว่าผู้ที่ต้องจ่ายค่าทดแทน คือเจ้าหน้าที่หรือผู้ได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่เมื่อการเวนคืนรายนี้อธิบดีกรมทางหลวงเป็นเจ้าหน้าที่ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงจังหวัดสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34-บางบ่อ พ.ศ. 2525 จึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าทดแทนแก่โจทก์ ส่วนจำเลยซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นเพียงผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาเท่านั้นไม่มีหน้าที่จะต้องจ่ายค่าทดแทนแก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเรียกค่าทดแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 820/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องค่าทดแทนเวนคืน: เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการคืออธิบดีกรมทางหลวง ไม่ใช่ รมต.คมนาคม
พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงจังหวัดสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34-บางบ่อ พ.ศ. 2525 กำหนดให้อธิบดีกรมทางหลวงเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการ ส่วนจำเลยซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาและตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530มาตรา 10 ผู้ที่ต้องจ่ายค่าทดแทนคือเจ้าหน้าที่หรือผู้ได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่ เมื่ออธิบดีกรมทางหลวงเป็นเจ้าหน้าที่ จึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าทดแทนแก่โจทก์ จำเลยเป็นเพียงผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น ไม่มีหน้าที่จะต้องจ่ายค่าทดแทนแก่โจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเรียกเงินค่าทดแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 707/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องมีเหตุผลแสดงปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลอุทธรณ์
โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ โดยผู้พิพากษาที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งว่าอุทธรณ์โจทก์ทั้งสองมีเหตุอันควรอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ จึงรับรองให้อุทธรณ์ คำสั่งดังกล่าวไม่ปรากฏว่ามีข้อใดที่ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นพิเคราะห์เห็นว่า ข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลอุทธรณ์และอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ทวิ