คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประยูร มูลศาสตร์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 139 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3631/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากจำเลยยังไม่ได้รบกวนการครอบครอง โจทก์ต้องแสดงการโต้แย้งสิทธิชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ส.ขายที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ 2 แปลง ซึ่งเป็นที่พิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 75,500 บาทส.ได้รับเงินครบถ้วนแล้ว และมอบการครอบครองที่พิพาทให้โจทก์ตั้งแต่วันทำสัญญา โจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมากว่า 9 ปี จำเลยยื่นคำร้องขอจัดการมรดกของ ส.โดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นมรดกของส.ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าว ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ หรือแย่งสิทธิครอบครองของโจทก์แต่อย่างใดอันจะถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3473/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดทางอาญา: การลักทรัพย์ในสภาวะที่สามารถรู้ผิดชอบได้ และการลดโทษตามมาตรา 65 วรรคสอง
ก่อนกระทำผิดจำเลยให้แพทย์ตรวจร่างกาย 2 ครั้ง เนื่องจากจำเลยปวดศีรษะ สับสน และนอนไม่หลับ ถ้ามีการดื่มสุรามากหรือเกิดความเครียดมากอาจไม่รู้สึกตัวประมาณ 12-13 ชั่วโมง ในคืนเกิดเหตุจำเลยได้ดื่มสุราแล้วจำเลยได้ใช้มีดงัดสายยูประตูห้องที่เกิดเหตุเข้าไปลักทรัพย์แล้วนำทรัพย์ที่ลักไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าที่บ้านพักจำเลย วันรุ่งขึ้นผู้บังคับบัญชาจำเลยสอบถามเรื่องคนร้ายลักทรัพย์ จำเลยรับสารภาพและคืนของกลางทั้งหมดชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพด้วย แสดงให้เห็นว่าจำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง ถ้าจำเลยไม่สามารถรู้ผิดชอบ คงไม่อาจให้รายละเอียดในการกระทำของตนได้ พฤติการณ์ในคดีรับฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดในขณะที่สามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 65 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3473/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดลักทรัพย์ของผู้ป่วยทางจิต: การพิจารณาความสามารถในการรู้ผิดชอบ
ก่อนกระทำผิดจำเลยเคยให้นายแพทย์ น. ตรวจร่างกาย 2 ครั้งผลการตรวจปรากฏว่าจำเลยเป็นโรคประสาทหลอนและปวดศีรษะด้านซ้ายมือมีอาการสับสน ถ้ามีการดื่มสุรามากหรือเกิดความเครียดมากอาจไม่รู้สึกตัวประมาณ 12-13 ชั่วโมง ในคืนเกิดเหตุจำเลยดื่มสุราแล้วจำเลยได้ใช้มีดงัดสายยูประตูเข้าไปลักทรัพย์แล้วนำทรัพย์กลับไปบ้านจำเลยชั้นสอบสวนจำเลยให้การได้ละเอียดในการที่จำเลยเข้าไปทำการลักทรัพย์ทั้งสามารถนำชี้ที่เกิดเหตุถึงสิ่งที่จำเลยได้กระทำแล้วแสดงให้เห็นว่าจำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง พฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดในขณะที่สามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3302/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากการชนเสาไฟฟ้า แม้ใช้สิ่งของโจทก์ ก็ต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
โจทก์เป็นนิติบุคคลตาม พระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501ลูกจ้างจำเลยได้ขับรถยนต์โดยสารในทางการที่จ้างของจำเลยโดยความประมาทชนเสาไฟฟ้าคอนกรีตของโจทก์ชำรุดเสียหาย ในการเปลี่ยนเสาไฟฟ้าโจทก์ต้องใช้ยานพาหนะเครื่องมือกล และคนงานวันละ16 คน คิดเป็นเงินรวม 51,930 บาท แม้ยานพาหนะ เครื่องมือกลและคนงานเป็นของโจทก์ เมื่อจำเลยกระทำละเมิดจนเป็นเหตุต้องเปลี่ยนเสาไฟฟ้า จำเลยก็ต้องรับผิดในค่าเสียหายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3233/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันคู่กรณีและบริวาร โจทก์ต้องบังคับคดีตามสัญญาเดิม
คดีก่อนโจทก์ขับไล่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ออกจากที่ดินพิพาทส่วนจำเลยที่ 3 เป็นบริวารของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวโดยโจทก์ยอมยกที่ดินเนื้อที่ 91 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยอมจะรื้อเรือนและร้านค้าออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ภายใน 1 ปี 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความถ้าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ทำการรื้อถอนภายในกำหนด จำเลยที่ 1และที่ 2 จะต้องคืนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ และศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว ดังนี้ คำพิพากษาตามยอมในคดีก่อนย่อมผูกพันโจทก์จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบริวาร นับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอม เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ยอมรื้อเรือนและร้านค้าออกจากที่ดินพิพาทโจทก์ชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ซึ่งเป็นบริวารในคดีก่อน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ ดังนั้น ปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนหรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรที่จะได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3233/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความและการไม่มีอำนาจฟ้องคดีซ้ำ
เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ยอมรื้อเรือนและร้านค้าออกจากที่ดินพิพาท และจำเลยที่ 3เป็นบริวารจำเลยที่ 1 ที่ 2 โจทก์ก็ชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในคดีก่อนโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3200/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความสัญญาแบ่งพินัยกรรมและแผนที่สังเขป ต้องพิจารณาเจตนาจริงของคู่สัญญาเหนือถ้อยคำตามตัวอักษร
ป.พ.พ. มาตรา 132 เดิม (มาตรา 171 ที่แก้ไขใหม่) บัญญัติไว้ว่า "ในการตีความการแสดงเจตนานั้น ท่านให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร" ดังนั้น ในการพิจารณาปัญหาว่าโจทก์จำเลยตกลงแบ่งที่ดินกันอย่างไรจึงต้องพิจารณาจากสัญญาแบ่งพินัยกรรม และแผนที่สังเขปแนบท้ายสัญญาที่คู่ความอ้างส่งเป็นพยานหลักฐานในคดีประกอบกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3184/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดบังคับคดีจากการฟ้องคดีอาญาเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้ และการใช้ดุลพินิจกำหนดค่าทนายความ
ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยผิดนัดชำระหนี้ โจทก์ขอให้บังคับคดีจำเลยยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีอ้างว่าจำเลยได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาข้อหาปลอมสัญญากู้ยืมเงิน เนื่องจากโจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินปลอมมาฟ้องจำเลยแล้วสมคบกับทนายจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความลับหลังจำเลยจนศาลพิพากษาตามยอม ดังนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิดในคดีนี้ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว หามีหนี้ที่จะหักกลบลบกันไม่ทั้งเป็นการฟ้องคดีในมูลกรณีเดียวกันกับคดีนี้ หาใช่ฟ้องเป็นคดีอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 อันจะเป็นเหตุให้ศาลงดการบังคับคดีเพื่อหักกลบลบหนี้กันไม่ จำนวนเงินค่าทนายความที่ศาลกำหนดให้จำเลยใช้แทนโจทก์เป็นส่วนหนึ่งของค่าฤชาธรรมเนียม ในเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161บัญญัติให้ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดี และเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้กำหนดค่าทนายความอยู่ระหว่างอัตราขั้นต่ำและขั้นสูงดังที่ระบุไว้ในตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยคำนึงถึงเหตุผลตามบทบัญญัติข้างต้นจึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3126/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางสาธารณประโยชน์: การอุทิศที่ดินโดยปริยายและการมีอำนาจฟ้องของเทศบาล
ทางพิพาทเกิดจากประชาชนใช้เดินเพื่อไปตักน้ำจากบ่อสาธารณะและใช้เดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะมานานหลายสิบปีก่อนที่โจทก์จะสร้างถนนคอนกรีตบนที่ดินทางพิพาท โดยเจ้าของที่ดินขณะนั้นไม่มีการหวงห้ามสงวนสิทธิใด ๆ แม้จะไม่ได้ความว่าผู้ใดอุทิศที่ดินทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะโดยตรงคือโดยพิธีการก็ต้องถือว่าเจ้าของที่ดินเดิมที่ทางพิพาทนี้ผ่านได้อุทิศที่ดินนั้นให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยาย ทางพิพาทจึงตกเป็นทางสาธารณะแล้วจำเลยรับโอนที่พิพาทภายหลังจากที่เจ้าของเดิมได้อุทิศทางพิพาทไปแล้วแม้ทางพิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย จำเลยก็ไม่มีสิทธิยึดถือเอาเป็นของตนได้ เมื่อทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์และอยู่ในเขตปกครองของเทศบาลตำบลศรีราชาโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยผู้เข้าขัดขวางปิดกั้นทางพิพาทนั้นได้ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496มาตรา 50(2) ประกอบด้วยกฎกระทรวง ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2496) ออกตามความในพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ข้อ (2) และพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 40

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3047/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอในการพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดฐานพยายามฆ่าและมีวัตถุระเบิด ศาลฎีกายกประโยชน์แห่งความสงสัย
ก่อนเกิดเหตุจำเลยเคยทำท่าฮึดฮัดจะชักอาวุธปืนยิงผู้เสียหายซึ่งแสดงว่าผู้เสียหายกับจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน คำเบิกความของผู้เสียหายที่ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายจึงมีเหตุทำให้ระแวงสงสัยส่วนที่โจทก์อ้างส่งคำให้การชั้นสอบสวนของ ย. ที่ระบุว่าในวันเกิดเหตุ ย. ได้ยินจำเลยพูดกับเพื่อนของจำเลยว่า อย่างผู้เสียหายไม่ต้องยิงให้เสียเวลาหรอกแค่ขว้างก็ช็อกตายแล้วนั้นคำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่า ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
of 14