พบผลลัพธ์ทั้งหมด 485 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4657/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพที่ไม่สมบูรณ์ – พยานประกอบคำรับสารภาพต้องแยกต่างหาก
ในคดีอาญาเมื่อจำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กระทำความผิดโจทก์ย่อมมีหน้าที่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องเมื่อโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานหรือ พยานพฤติเหตุแวดล้อมมาสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตายคำเบิกความของเจ้าพนักงานผู้จับกุมจำเลยทั้งสองซึ่งอ้างว่าสืบทราบว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายและจำเลยทั้งสองรับสารภาพในชั้นจับกุมกับคำเบิกความของพนักงานสอบสวนผู้สอบสวนจำเลยทั้งสองที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนไม่พอให้รับฟังว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4592/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาคดี ต้องเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินหรือสิทธิที่พิพาท
การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 264 คู่ความฝ่ายใดในคดีนั้น ๆ จะร้องขอก็ได้ แต่จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอ เพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันในคดีนั้นได้รับการคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษา กรณีที่จำเลยที่ 1ฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระเงินเช่นในคดีนี้ มิใช่พิพาทกันด้วยทรัพย์สินหรือสิทธิหรือประโยชน์ จำเลยที่ 1 จึงขอให้โจทก์นำทรัพย์สินหรือเงินมาวางศาลตามมาตรานี้ไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้ทำเช่นนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4592/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาคดีต้องเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินหรือสิทธิที่พิพาท
การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา264คู่ความฝ่ายใดในคดีนั้นๆจะร้องขอก็ได้แต่จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอเพื่อให้ทรัพย์สินสิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันในคดีนั้นได้รับการคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษากรณีที่จำเลยที่1ฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระเงินเช่นในคดีนี้มิใช่พิพาทกันด้วยทรัพย์สินหรือสิทธิหรือประโยชน์จำเลยที่1จึงขอให้โจทก์นำทรัพย์สินหรือเงินมาวางศาลตามมาตรานี้ไม่ได้เพราะไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้ทำเช่นนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3987/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาและการเรียกร้องค่าปรับ ศาลล่างวินิจฉัยเกินกรอบประเด็นข้อพิพาท
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิปรับจำเลยเป็นรายวันก่อนเลิกสัญญาได้ต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ จึงได้บอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับเป็นรายวันก่อนเลิกสัญญา จำเลยให้การเพียงว่ามิได้ประพฤติผิดสัญญา โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่สุจริต และคดีโจทก์ขาดอายุความ โดยคำให้การจำเลยมิได้โต้เถียงว่าค่าปรับเป็นรายวันตามที่โจทก์ฟ้องไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบประการใด เท่ากับยอมรับว่าค่าปรับเป็นรายวันตามสัญญาในกรณีโจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตุจำเลยผิดสัญญาเป็นจำนวนตามที่โจทก์อ้าง คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันเป็นจำนวนตามฟ้องได้หรือไม่ ทั้งในการชี้สองสถานศาลก็ไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อนี้ไว้และปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3987/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการวินิจฉัยประเด็นนอกคำขอและประเด็นนอกประเด็นพิพาทที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาโจทก์มีสิทธิปรับจำเลยเป็นรายวันก่อนเลิกสัญญาได้ต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้จึงได้บอกเลิกสัญญาขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับเป็นรายวันก่อนเลิกสัญญาจำเลยให้การเพียงว่ามิได้ประพฤติผิดสัญญาโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่สุจริตและคดีโจทก์ขาดอายุความโดยคำให้การจำเลยมิได้โต้เถียงว่าค่าปรับเป็นรายวันตามที่โจทก์ฟ้องไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบประการใดเท่ากับยอมรับว่าค่าปรับเป็นรายวันตามสัญญาในกรณีโจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตุจำเลยผิดสัญญาเป็นจำนวนตามที่โจทก์อ้างคดีจึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันเป็นจำนวนตามฟ้องได้หรือไม่ทั้งในการชี้สองสถานศาลก็ไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อนี้ไว้และปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนการที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2785/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาฎีกาต้องมีเหตุสุดวิสัย การพิมพ์วันที่ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่โจทก์เองไม่ใช่เหตุสุดวิสัย
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค2ให้โจทก์ฟังเมื่อวันที่7กันยายน2538โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาเมื่อวันที่10ตุลาคม2538ศาลชั้นต้นยกคำร้องโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาอีกเมื่อวันที่11ตุลาคม2538โดยอ้างว่ามีพฤติการณ์พิเศษและเหตุสุดวิสัยเพราะพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์พิมพ์วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค2เพื่อแจ้งอัยการสูงสุดผิดพลาดเป็นวันที่11กันยายน2538ทำให้อัยการสูงสุดเข้าใจว่าครบกำหนดยื่นฎีกาในวันที่10ตุลาคม2538จึงยื่นคำร้องครั้งแรกในวันนั้นเมื่อปรากฏว่าโจทก์ทราบวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค2ดีอยู่แล้วโจทก์ชอบที่จะยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาก่อนสิ้นระยะเวลาดังกล่าวและเหตุที่โจทก์อ้างเป็นข้อผิดพลาดภายในหน่วยงานของโจทก์เองถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยการที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตตามคำขอของโจทก์จึงไม่ชอบโจทก์ไม่มีสิทธิยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนดและปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2252/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายยังไม่สมบูรณ์ การริบเงินมัดจำเป็นโมฆะ
โจทก์ได้ตกลงซื้ออาคาร วางเงินมัดจำจำนวน 200,000 บาทไว้แก่จำเลย มีข้อตกลงว่าเมื่อโจทก์ชำระเงินให้ครบ 388,000 บาท แล้วจึงจะทำสัญญาจะซื้อขายกันเป็นหนังสือกำหนดวันนัดโอนกรรมสิทธิ์ ดังนี้ เมื่อคู่สัญญากำหนดจะทำสัญญากันโดยวิธีทำเป็นหนังสือ ให้มีข้อตกลงทุกข้อก็ต้องเป็นไปตามเจตนาของคู่สัญญา กรณีจึงยังเป็นที่สงสัยถือไม่ได้ว่าได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ ทำหนังสือสัญญาต่อกันแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 366 วรรคสอง จะอ้างว่า โจทก์ไม่ยอมทำสัญญาเป็นหนังสือกับจำเลยเป็นการผิดสัญญาจะซื้อขายไม่ได้ เพราะสัญญายังไม่เกิด จำเลยจึงไม่มีสิทธิริบเงินมัดจำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1925/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการต่อสู้คดี แม้มติเจ้าหนี้ไม่ประสงค์ให้ดำเนินการ
เมื่อจำเลยเป็นบุคคลล้มละลายอำนาจในการต่อสู้คดีย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา22(3)แม้ที่ประชุมเจ้าหนี้จะมีมติว่าไม่ประสงค์ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าว่าคดีแทนหรือมีมติประการใดก็ไม่ทำให้อำนาจในการต่อสู้คดีของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปจำเลยจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาด้วยตนเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1925/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีสิทธิในที่ดินของบุคคลล้มละลาย: เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินเป็นของโจทก์และห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่า ที่ดินเป็นของจำเลย กรณีจึงพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ฉะนั้นเมื่อจำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย อำนาจในการต่อสู้คดีย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 22 เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงไม่ขอเข้าว่าคดีแทนจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิต่อสู้คดีได้ด้วยตนเอง ซึ่งรวมทั้งสิทธิในการยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1925/2539 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีของลูกหนี้ล้มละลาย: เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินเป็นของโจทก์และห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่า ที่ดินเป็นของจำเลย กรณีจึงพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ฉะนั้นเมื่อจำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย อำนาจในการต่อสู้คดีย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายมาตรา 22 เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงไม่ขอเข้าว่าคดีแทนจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิต่อสู้คดีได้ด้วยตนเอง ซึ่งรวมทั้งสิทธิในการยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาด้วย