พบผลลัพธ์ทั้งหมด 485 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6599/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตและฝ่าฝืนกฎหมายควบคุมอาคาร เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งรื้อถอน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 21,22 และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2522หมวด 4 ข้อ 30 และขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2517) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมการก่อสร้าง พ.ศ.2479 และการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารนั้นทำให้อาคารของจำเลยมีสภาพหรือการใช้อาจเป็นภยันตรายต่อชีวิต ร่างกายสุขภาพหรือทรัพย์ หรือไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ควบคุมอาคารพ.ศ.2522 และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ.2522 ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่อาจออกใบอนุญาตให้จำเลยก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารได้ โจทก์เคยมีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตมาตั้งแต่ พ.ศ.2525, พ.ศ.2528 และ พ.ศ.2529 แต่จำเลยไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงได้ฟ้องต่อศาลคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำฟ้องที่ร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 42 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นแล้ว
จำเลยกระทำการต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2522 หมวด 4 ข้อ30 ทั้งขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2517) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2479 เช่น อาคารพิพาทไม่มีที่จอดรถยนต์ที่ถูกต้องและเพียงพอ ทำให้โจทก์ออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ อาคารที่จำเลยต่อเติมดัดแปลง จึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าวได้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทและร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนอาคารพิพาทได้ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 42 วรรคแรก และวรรคสาม (เดิม) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวง หาใช่เป็นการวินิจฉัยและพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่
จำเลยกระทำการต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2522 หมวด 4 ข้อ30 ทั้งขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2517) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2479 เช่น อาคารพิพาทไม่มีที่จอดรถยนต์ที่ถูกต้องและเพียงพอ ทำให้โจทก์ออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ อาคารที่จำเลยต่อเติมดัดแปลง จึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าวได้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทและร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนอาคารพิพาทได้ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 42 วรรคแรก และวรรคสาม (เดิม) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวง หาใช่เป็นการวินิจฉัยและพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6599/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตและขัดกฎหมายควบคุมอาคาร ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิมให้รื้อถอน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21,22 และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522หมวด 4 ข้อ 30 และขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2517) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง พ.ศ. 2479 และการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารนั้นทำให้อาคารของจำเลยมีสภาพหรือการใช้อาจเป็นภยันตรายต่อชีวิต ร่างกายสุขภาพหรือทรัพย์ หรือไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ. 2522 ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่อาจออกใบอนุญาตให้จำเลยก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารได้ โจทก์เคยมีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตมาตั้งแต่ พ.ศ. 2525, พ.ศ. 2528และ พ.ศ. 2529 แต่จำเลยไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงได้ฟ้องต่อศาลคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำฟ้องที่ร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42(เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นแล้ว จำเลยกระทำการต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522หมวด 4 ข้อ 30 ทั้งขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2517) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2479 เช่นอาคารพิพาทไม่มีที่จอดรถยนต์ ที่ถูกต้องและเพียงพอ ทำให้โจทก์ออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ อาคารที่จำเลยต่อเติมดัดแปลง จึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าวได้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทและร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนอาคารพิพาทได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42 วรรคแรก และวรรคสาม (เดิม) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงหาใช่เป็นการวินิจฉัยและพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6473/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้องกันเกินสมควร: การตอบโต้รุนแรงเกินเหตุหลังถูกทำร้าย
แม้จำเลยจะเป็นหญิงรูปร่างเล็กกว่าผู้ตายมากก็ตาม แต่ผู้ตายเพียงแต่ใช้ไม้ไผ่ตีทำร้ายจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยยิงผู้ตายถึง 4 นัด และกระสุนปืนถูกผู้ตาย 2 นัด ที่บริเวณหน้าท้องอันเป็นอวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นการกระทำโต้ตอบรุนแรงเกินสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6473/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ: การใช้กำลังตอบโต้เกินกว่าเหตุที่ถูกทำร้าย
แม้จำเลยจะเป็นหญิงรูปร่างเล็กกว่าผู้ตายมากก็ตาม แต่ผู้ตายเพียงแต่ใช้ไม้ไผ่ตีทำร้ายจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยยิงผู้ตายถึง4 นัด และกระสุนปืนถูกผู้ตาย 2 นัด ที่บริเวณหน้าท้องอันเป็นอวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นการกระทำโต้ตอบรุนแรงเกินสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6443/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจอนุญาตถอนฟ้อง: ศาลพิจารณาจากข้อได้เสียของคำฟ้องและคำให้การเท่านั้น
แม้จำเลยคัดค้านไม่ยอมให้โจทก์ถอนฟ้องก็ตาม แต่การที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล คดีนี้จำเลยต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ผิดสัญญา แต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา แม้จำเลยฟ้องแย้งเรียกให้โจทก์คืน น.ส.3 ก. ที่โจทก์ยึดไว้และยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องก็ตาม เมื่อคดียังไม่มีการสืบพยานของคู่ความทั้งสองฝ่ายและยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว หากศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องนี้ไป ก็หาทำให้จำเลยต้องเสียเปรียบแต่อย่างใดไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงตกไป ทำให้จำเลยต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความตั้งประเด็นฟ้องเป็นคดีใหม่อีกคดีหนึ่งต่างหากนั้น เห็นว่า การใช้ดุลพินิจที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องนั้น ศาลจะคำนึงถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบของคดีในส่วนที่เกี่ยวกับคำฟ้องและคำให้การเท่านั้น ไม่ต้องคำนึงในส่วนที่เกี่ยวกับคำฟ้องแย้งแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6443/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจอนุญาตถอนฟ้อง: ศาลพิจารณาเฉพาะข้อได้เปรียบเสียเปรียบจากคำฟ้องและคำให้การ ไม่ต้องคำนึงถึงฟ้องแย้ง
แม้จำเลยคัดค้านไม่ยอมให้โจทก์ถอนฟ้องก็ตาม แต่การที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล คดีนี้จำเลยต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยไม่ผิดสัญญา แต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา แม้จำเลยฟ้องแย้งเรียกให้โจทก์คืน น.ส.3 ก. ที่โจทก์ยึดไว้และยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องก็ตาม เมื่อคดียังไม่มีการสืบพยานของคู่ความทั้งสองฝ่ายและยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวหากศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องนี้ไป ก็หาทำให้จำเลยต้องเสียเปรียบแต่อย่างใดไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงตกไป ทำให้จำเลยต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความตั้งประเด็นฟ้องเป็นคดีใหม่อีกคดีหนึ่งต่างหากนั้น เห็นว่า การใช้ดุลพินิจที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องนั้น ศาลจะคำนึงถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบของคดีในส่วนที่เกี่ยวกับคำฟ้องและคำให้การเท่านั้น ไม่ต้องคำนึงในส่วนที่เกี่ยวกับคำฟ้องแย้งแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6443/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลอนุญาตถอนฟ้อง: คำนึงเฉพาะข้อได้เปรียบเสียเปรียบของคำฟ้องและคำให้การ ไม่ต้องคำนึงถึงฟ้องแย้ง
การที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาลโดยศาลจะคำนึงถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบของคดีในส่วนที่เกี่ยวกับคำฟ้องและคำให้การเท่านั้น ไม่ต้องคำนึงในส่วนที่เกี่ยวกับคำฟ้องแย้ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6248/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยประเด็นคู่สัญญาซื้อขาย: การนำสืบต้องตรงประเด็นข้อพิพาท
จำเลยทั้งสองได้ให้การไว้แล้วว่า ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จึงไม่มีหนี้ซึ่งจะต้องชำระให้แก่โจทก์ ทั้งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 2 รับของไปจากโจทก์เพื่อทดลองใช้ดูก่อน หากเป็นที่พอใจจะได้ตกลงทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันในภายหลัง จึงเป็นการนำสืบและวินิจฉัยในประเด็นโดยตรงว่า จำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่นั่นเอง กรณีหาใช่การรับฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6248/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายมีผลเมื่อมีเจตนาทำสัญญา หากรับของเพื่อทดลองใช้ก่อนยังไม่ถือเป็นการซื้อขาย
จำเลยทั้งสองได้ให้การไว้แล้วว่า ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จึงไม่มีหนี้ซึ่งจะต้องชำระให้แก่โจทก์ ทั้งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 2 รับของไปจากโจทก์เพื่อทดลองใช้ดูก่อนหากเป็นที่พอใจจะได้ตกลงทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันในภายหลังจึงเป็นการนำสืบและวินิจฉัยในประเด็นโดยตรงว่า จำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่นั่นเอง กรณีหาใช่การรับฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6118/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตและเรียกเก็บค่าบริการ ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จัดหางาน
จำเลยได้ชักชวนผู้เสียหายกับพวกไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์โดยเรียกเงินค่าใช้จ่ายเป็นเงินในการดำเนินการจากพวกผู้เสียหายเป็นค่าตอบแทนแล้วจำเลยได้พาพวกผู้เสียหายเดินทางไปทำงานเป็นกรรมการก่อสร้างที่ประเทศสิงคโปร์ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานให้คนหางานไปทำงานต่างประเทศ การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานหรือหาลูกจ้างให้แก่นายจ้างอันเป็นการจัดหางานตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 4 แล้ว เพราะจำเลยรู้อยู่แล้วว่า จำเลยไม่มีใบอนุญาตให้จัดหางาน แต่จำเลยก็ดำเนินการต่าง ๆ เป็นการหางานให้พวกผู้เสียหายโดยมุ่งจะเอาค่าตอบแทนจากพวกผู้เสียหายเป็นรายบุคคล จึงมีความผิดข้อหานี้แล้ว