พบผลลัพธ์ทั้งหมด 485 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2353/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาท: ผู้ถือเช็คมีสิทธิฟ้อง แม้ได้รับชำระหนี้แล้ว คดีไม่ระงับ
จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้ ย.เพื่อชำระหนี้ เช็คดังกล่าวเป็นเช็คให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ย.ย่อมโอนให้แก่ผู้เสียหายด้วยการส่งมอบให้กันตามป.พ.พ. มาตรา 918 ประกอบมาตรา 989 ผู้เสียหายจึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบเมื่อผู้เสียหายนำเช็คไปเรียกเก็บเงินแล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยย่อมมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
ขณะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท ผู้เสียหายเป็นผู้ทรงเช็คและเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย จึงมีฐานะเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) แม้ต่อมาภายหลังผู้เสียหายจะได้รับชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าวจาก ย. ก็ไม่ทำให้ฐานะการเป็นผู้เสียหายของผู้เสียหายในคดีอาญาหมดไป ทั้งการชำระหนี้ของ ย.แก่ผู้เสียหายก็เป็นการชำระหนี้ตามกฎหมายที่ ย.จะต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย มิใช่เป็นการชำระหนี้แทนจำเลย จึงไม่ทำให้คดีระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 แต่อย่างใด โจทก์ยังคงมีอำนาจฟ้อง
ขณะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท ผู้เสียหายเป็นผู้ทรงเช็คและเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย จึงมีฐานะเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) แม้ต่อมาภายหลังผู้เสียหายจะได้รับชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าวจาก ย. ก็ไม่ทำให้ฐานะการเป็นผู้เสียหายของผู้เสียหายในคดีอาญาหมดไป ทั้งการชำระหนี้ของ ย.แก่ผู้เสียหายก็เป็นการชำระหนี้ตามกฎหมายที่ ย.จะต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย มิใช่เป็นการชำระหนี้แทนจำเลย จึงไม่ทำให้คดีระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 แต่อย่างใด โจทก์ยังคงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2349/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมและประกันตามคำสั่งศาล เพื่ออุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ การปฏิบัติตามกำหนดเวลา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2535 ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ปรากฏว่า เมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์ จำเลยได้นำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางไว้ต่อศาลแล้ว ส่วนเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ ก็ปรากฏว่าจำเลยได้นำเงินมาวางเป็นประกันไว้ต่อศาลแล้ว เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2535 โดยเป็นการวางเงินตามคำสั่งศาลชั้นต้น ซึ่งสั่งตามคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2535 จึงถือได้ว่าจำเลยได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลในกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 แล้ว ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2349/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์เมื่อวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมและเงินตามคำพิพากษาครบถ้วน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2535 ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ปรากฏว่า เมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์ จำเลยได้นำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางไว้ต่อศาลแล้ว ส่วนเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ ก็ปรากฏว่าจำเลยได้นำเงินมาวางเป็นประกันไว้ต่อศาลแล้ว เมื่อวันที่ 10 กันยายน2535 โดยเป็นการวางเงินตามคำสั่งศาลชั้นต้น ซึ่งสั่งตามคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2535 จึงถือได้ว่าจำเลยได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลในกำหนดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 แล้ว ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2062/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิในเช็คและการเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทหลังการปฏิเสธการจ่ายเงิน
แม้ขณะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ส. เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสดหรือเช็คผู้ถือ แต่เช็คพิพาทก็เป็นเช็คที่จำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 และย่อมโอนให้แก่กันได้โดยส่งมอบตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 918 ประกอบด้วยมาตรา 989 เมื่อโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมาจาก ส. โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 และได้รับโอนสิทธิในเช็คพิพาทจาก ส. โดยโจทก์ไม่จำต้องนำเช็คไปขึ้นเงินอีกครั้งหนึ่ง ก็มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินตามเช็คได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1978/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมาย: การลงลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมต้องกระทำต่อหน้าพยาน
ผู้ตายไม่ได้ลงลายมือชื่อในพินัยกรรมต่อหน้าพยานทั้งสองคนแม้ขณะพยานทั้งสองลงลายมือชื่อเป็นพยาน ผู้ตายและพยานทั้งสองจะอยู่พร้อมหน้ากันก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการทำพินัยกรรมตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้ พินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1705 ผู้คัดค้านในฐานะผู้รับพินัยกรรมจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายไม่มีสิทธิขอตั้งเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1441/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนออกเงินทดรองจ่าย: ศาลพิพากษายืนตามสัญญา หากมีหลักฐานชัดเจนถึงการทดรองจ่ายจริง
การที่จำเลยมอบอำนาจให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภ. เป็นตัวแทนในการจัดสรรที่ดินและปลูกบ้านขายโดยให้มีอำนาจตั้งตัวแทนช่วงได้แล้วห้างหุ้นส่วนจำกัด ภ. มอบอำนาจให้โจทก์เป็นตัวแทนช่วงโจทก์จึงกระทำการต่าง ๆ เกี่ยวกับการปลูกสร้างบ้านและจัดสรรที่ดินของจำเลยเป็นขั้นตอนหลายประการจนถึงขนาดจำเลยมอบอำนาจโดยตรงให้โจทก์เป็นผู้ชี้แจงเรื่องภาษีต่อเจ้าหน้าที่สรรพากรเช่นนี้จำเลยกับโจทก์จึงมีนิติสัมพันธ์กันในฐานะตัวการตัวแทนตลอดมาโจทก์มีอำนาจออกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยและเรียกให้จำเลยรับผิดชดใช้คืนให้แก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1286/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการฟ้องเรียกคืนทรัพย์สิน: สิทธิติดตามทรัพย์สินไม่มีกำหนดเวลาตามกฎหมาย หากไม่ถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ
การที่โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนจากผู้ยึดถือทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยมิชอบ โจทก์ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 มิใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด จึงไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 และในการฟ้องคดีใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนดังกล่าว ไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์ใช้สิทธิเช่นนี้ เว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1268/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้แย้งดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานเกี่ยวกับจำนวนเฮโรอีน
ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กระทงความผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทเดียว เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมาย-วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
โจทก์ฎีกาว่า เฮโรอีนของกลางจำนวน 2 ห่อเล็กที่สายลับนำไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจ กับเฮโรอีนอีกจำนวน 2 หลอดและ 1 ห่อเล็กที่เจ้าพนักงานตำรวจค้นและยึดได้จากตัวจำเลยเป็นเฮโรอีนคนละจำนวนกันจำเลยจึงมีความผิด 2 กรรม เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่า เฮโรอีนของกลางเป็นจำนวนเดียวกัน อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กระทงความผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทเดียว เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมาย-วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
โจทก์ฎีกาว่า เฮโรอีนของกลางจำนวน 2 ห่อเล็กที่สายลับนำไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจ กับเฮโรอีนอีกจำนวน 2 หลอดและ 1 ห่อเล็กที่เจ้าพนักงานตำรวจค้นและยึดได้จากตัวจำเลยเป็นเฮโรอีนคนละจำนวนกันจำเลยจึงมีความผิด 2 กรรม เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่า เฮโรอีนของกลางเป็นจำนวนเดียวกัน อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1268/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจำคุกในคดียาเสพติด และข้อจำกัดในการฎีกาประเด็นข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กระทงความผิดศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทเดียว เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาว่า เฮโรอีนของกลางจำนวน2 ห่อเล็กที่สายลับนำไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจ กับเฮโรอีนอีกจำนวน 2 หลอดละ 1 ห่อเล็กที่เจ้าพนักงานตำรวจค้นและยึดได้จากตัวจำเลยเป็นเฮโรอีนคนละจำนวนกันจำเลยจึงมีความผิด 2 กรรม เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่า เฮโรอีนของกลางเป็นจำนวนเดียวกัน อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1223/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของ การครอบครองเพื่ออยู่อาศัยโดยไม่แสดงเจตนาเป็นเจ้าของ ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
คดีนี้ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนว่า พยานผู้ร้องยกเว้น ป. และ ศ. ไม่มีผู้ใดยืนยันว่าผู้ร้องอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิอะไรสำหรับ ป. และ ศ.ซึ่งเบิกความว่า ผู้ร้องซื้อที่ดินมาจาก อ. ก็ขัดกับเอกสารและเป็นพยานบอกเล่า มีน้ำหนักน้อย และการที่ผู้ร้องมิได้โต้แย้งคัดค้านเมื่อมีผู้อื่นมาขอออกโฉนดในนามของคนอื่นก็ดี หรือนำที่ดินไปจำนองต่อธนาคารก็ดี ดูจะเป็นเหตุผิดปกติวิสัย ยกเว้นแต่ผู้ร้องจะทราบดีว่าตนไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาทเท่านั้นเป็นการฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยมิได้มีเจตนายึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของอันเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาต้องถือตาม ผู้ร้องมิได้มีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของผู้ร้องย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382