คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อำนวย สุขพรหม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 485 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ: การไม่ส่งมอบป้ายทะเบียนถือเป็นฝ่ายผิดสัญญา และผลของการเลิกสัญญาสัญญา
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ โดยได้ชำระค่าเช่าซื้องวดแรกแล้วแต่โจทก์ไม่ยอมมอบป้ายทะเบียนรถให้ ดังนี้ถือว่าป้ายทะเบียนรถเป็นส่วนสำคัญของรถยนต์คันที่เช่าซื้อเมื่อโจทก์ไม่ยอมมอบป้ายทะเบียนรถให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ย่อมไม่สามารถที่จะใช้หรือรับประโยชน์จากรถยนต์คันที่เช่าซื้อได้เพราะหากจำเลยที่ 1 นำรถออกใช้ก็จะถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมโจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้อในงวดที่สองจะถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ได้ แต่การที่โจทก์ยึดรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนไป โดยจำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 สมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันนับแต่วันที่โจทก์ยึดรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนไปโจทก์กับจำเลยที่ 1 จะเรียกค่าเสียหายอย่างใดต่อกันอีกไม่ได้เว้นแต่ค่าเสียหายที่เป็นค่าขาดประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ครอบครองรถยนต์คันที่เช่าซื้อไว้จนถึงวันเลิกสัญญาเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 140/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยกู้เงินโจทก์ร่วมโดยไม่ทำสัญญากู้ไว้ แต่โจทก์ร่วมได้ให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้เพื่อชำระหนี้เงินกู้ เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมที่มิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือไว้ เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่ไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 แม้การที่จำเลยออกเช็คพิพาทจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 ก็ตาม แต่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534อันเป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังที่จำเลยออกเช็คการออกเช็คพิพาทของจำเลยไม่เป็นความผิดต่อไป จำเลยย่อมพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 121/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พฤติการณ์นั่งคร่อมรถและบิดกุญแจถือเป็นการลงมือลักทรัพย์แล้ว แม้จะยังไม่ได้เคลื่อนย้ายรถออกไป
จำเลยเพียงแต่นั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ยังไม่ได้เอารถออกเป็นการลงมือลักทรัพย์แล้ว เมื่อกระทำไปไม่ตลอดเพราะผู้เสียหายเข้ามากอด เอาไว้ทำให้จำเลยเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปไม่ได้ เป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 121/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามลักทรัพย์: การกระทำความผิดสำเร็จหรือไม่เมื่อผู้เสียหายขัดขวาง
จำเลยมีเจตนาลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย แต่จำเลยเพียงแต่นั่งคร่อม ยังไม่ได้เอารถออก จึงเป็นการลงมือลักทรัพย์แล้ว หากแต่กระทำไปไม่ตลอดเพราะผู้เสียหายเข้ามากอดเอาไว้ ทำให้จำเลยเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปไม่ได้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 121/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาลักทรัพย์แม้ยังไม่ได้เคลื่อนย้าย ถือเป็นความพยายามลักทรัพย์
จำเลยมีเจตนาลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย แต่จำเลยเพียงแต่นั่งคร่อม ยังไม่ได้เอารถออก จึงเป็นการลงมือลักทรัพย์แล้ว หากแต่กระทำไปไม่ตลอดเพราะผู้เสียหายเข้ามากอดเอวไว้ ทำให้จำเลยเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปไม่ได้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจร-ใช้เอกสารปลอม: จำเลยไม่รู้ว่ารถเป็นของโจรและไม่ได้ใช้เอกสารปลอม ศาลยกฟ้อง
รถของผู้เสียหายไป พบอยู่ในความครอบครองของจำเลย พบรอยขูดลบเลขหมายประจำเครื่องยนต์มีการตัดต่อเชื่อมบริเวณหมายเลขประจำคัสซี กับมีป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีและสำเนาใบคู่มือจดทะเบียนปลอมซึ่งมีรอยลบสีของตัวรถติดอยู่ ส่วนแผ่นป้ายทะเบียนเป็นของรถคันอื่น เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจสอบหลักฐานการใช้รถ จำเลยไม่ได้หลบหนีและนำเอกสารมาให้ตรวจสอบโดยดี ทั้งแจ้งว่าขอยืมรถมาจาก จ. โดยไม่มีข้อพิรุธ แสดงว่าจำเลยรับรถไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์จึงไม่มีความผิดฐานรับของโจร และการที่โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นรถที่มีการปลอมแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีและสำเนาใบคู่มือจดทะเบียน การที่รถที่จำเลยครอบครองมีเอกสารดังกล่าวไว้ จะถือว่าจำเลยใช้หรืออ้างเอกสารปลอมไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5594/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การข่มขู่ต้องร้ายแรงถึงขนาดจูงใจให้ทำสัญญา หากเป็นการใช้สิทธิโดยชอบธรรม สัญญาไม่ตกเป็นโมฆียะ
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการร้านค้าของโจทก์ เมื่อโจทก์ตรวจพบว่าสินค้าและเงินในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 สูญหายไป และจำเลยที่ 1 ไม่ยอมรับผิดชอบ โจทก์ข่มขู่ว่าจะจับกุมดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ 1 ในข้อหายักยอก จำเลยที่ 1 จึงยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ดังนี้เป็นสิทธิอันชอบธรรมของโจทก์ที่พึงใช้สิทธิของตนตามปกตินิยม กรณีหาใช่เป็นการข่มขู่อันจะทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะไม่ สัญญาประนีประนอมยอมความจึงมีผลใช้บังคับได้ คู่ฉบับเอกสาร ถือว่าเป็นต้นฉบับเอกสารด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5363/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานในข้อเท็จจริง จึงไม่อาจฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 8ไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 8 รู้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อจำเลยที่ 8 จ้างจำเลยที่ 1ถึงที่ 7 เข้าไปตัดถาง หญ้าในที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยที่ 8 จึงเป็นความผิดฐานบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 8 อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 8 เป็นผู้ยึดถือครอบครองถาง ป่าสงวนแห่งชาติ และจำเลยที่ 8 ไม่ทราบว่าที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติ การที่จำเลยที่ 8 ว่าจ้างจำเลยที่ 1ถึงที่ 7 มาถาง ที่พิพาทโดยเข้าใจว่าที่เกิดเหตุเป็นการปลูกป่าของทางราชการ จึงขาดเจตนากระทำผิด การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนโดยเชื่อตามคำเบิกความและพยานหลักฐานโจทก์ว่าประชาชนทั่วไปทราบดีว่าเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนายึดถือครอบครองป่าสงวนแห่งชาติจึงมีความผิดตามฟ้อง จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวน ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่ 8ที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 1,122(พ.ศ. 2528)คลาดเคลื่อน เพราะหลงเชื่อคำเบิกความของพยานโจทก์โดยไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดในกฎกระทรวงซึ่งมิได้ระบุว่าหมู่ที่ 5 ตำบลระบำ อำเภอลานสัก ตามฟ้องเป็นป่าสงวนแห่งชาติ เนื่องจากในอำเภอลานสักคงมีแต่ตำบลลานสักและตำบลป่าอ้อเท่านั้น ย่อมเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5363/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ: ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและการวินิจฉัยพยานหลักฐาน
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 8 ไม่เกิน5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที๋ 8 รู้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อจำเลยที่ 8 จ้างจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 เข้าไปตัดถางหญ้าในที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยที่ 8 จึงเป็นความผิดฐานบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 8อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 8 เป็นผู้ยึดถือครอบครองถางป่าสงวนแห่งชาติ และจำเลยที่ 8 ไม่ทราบว่าที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติการที่จำเลยที่ 8 ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 มาถางที่พิพาทโดยเข้าใจว่าที่เกิดเหตุเป็นการปลูกป่าของทางราชการ จึงขาดเจตนากระทำผิด การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยเชื่อตามคำเบิกความและพยานหลักฐานโจทก์ว่าประชาชนทั่วไปทราบว่าที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติ และจำเลยที่ 8 ทราบดีว่าเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนายึดถือครอบครรองป่าสงวนแห่งชาติ จึงมีความผิดตามฟ้อง จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวน ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่ 8 ที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 1, 122 (พ.ศ.2528) คลาดเคลื่อน เพราะหลงเชื่อคำเบิกความของพยานโจทก์โดยไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดในกฎกระทรวงซึ่งมิได้ระบุว่า หมู่ที่ 5ตำบลระบำ อำเภอลานสัก ตามฟ้องเป็นป่าสงวนแห่งชาติ เนื่องจากในอำเภอลานสักคงมีแต่ตำบลล่านสักและตำบลป่าอ้อเท่านั้น ย่อมเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4943/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาเกินฟ้องในคดีละเมิด: จำเลยไม่ต้องรับผิดหากศาลล่างตัดสินเกินข้อกล่าวหา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3ได้ร่วมกันกระทำละเมิดโดยร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงบุตรโจทก์จนถึงแก่ความตาย การที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 3ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่กลับพิพากษาให้จำเลยที่ 1ร่วมรับผิดด้วยในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 3ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 ในฐานะบิดาซึ่งมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลปล่อยให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์หยิบฉวยอาวุธปืนของจำเลยที่ 1 ไปใช้ยิงผู้ตาย เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142และปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดฐานละเมิดดังฟ้อง
of 49