พบผลลัพธ์ทั้งหมด 254 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2228/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินช่วงห้ามโอน สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ ผู้รับโอนไม่มีสิทธิครอบครอง
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์แล้ว คดีจึงอยู่ในระหว่าง การพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งอนุญาตหรือ ไม่อนุญาตให้ ย. เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบ แต่เมื่อศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงแล้วฟังว่า ย. เป็นทายาทของจำเลยที่ 1 ผู้มรณะ และจำเลยที่ 1ถึงแก่ความตายแล้วจริง ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งตั้ง ย.เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะต่อไป จำเลยที่ 1 ขายที่ดินที่พิพาทให้แก่ ค. ในระยะเวลาห้ามโอนภายใน 10 ปี ตามกฎหมาย แม้ตามสัญญาซื้อขายจะมีข้อความระบุว่าจำเลยที่ 1 พร้อมจะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อในเมื่อผู้ซื้อ เรียกร้องได้ทุกเวลา และมีข้อความว่าจำเลยที่ 1 ได้มอบ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ให้แก่ผู้ซื้อแล้วก็ตาม แต่ก็เห็นได้ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่าง ค. กับจำเลยที่ 1 ทั้งสองฝ่ายมุ่งประสงค์ที่จะโอนสิทธิครอบครอง ในที่ดินดังกล่าวพร้อมหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดิน นั้น (น.ส.3 ก.) ให้แก่กัน ข้อความดังกล่าวระบุไว้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกำหนดห้ามโอน นิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามคำฟ้องระหว่าง ค. กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ย่อมไม่มี ผลบังคับ จึงต้องถือว่า ค. ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 อยู่ตลอดเวลา แม้ ค. จะครอบครองที่ดินดังกล่าวมานานเพียงใด ก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง ดังนั้น แม้โจทก์จะซื้อที่ดินพิพาท จาก ค. และรับโอนการครอบครองที่ดินดังกล่าวมาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 10 ปี ที่กฎหมายห้ามโอนแล้วก็ตาม แต่เมื่อ ค. ผู้โอนไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินนั้น โจทก์ผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีไปกว่าสิทธิที่ ค. ผู้โอนมีอยู่ โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินตามคำฟ้อง และต้องฟังว่าโจทก์ ครอบครองที่ดินดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1 โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 ตลอดมาและโจทก์มิได้บรรยายในคำฟ้องให้ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าว เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองโดยบอกกล่าวไปยัง จำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 คำฟ้องของโจทก์จึงไม่มี ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2228/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินช่วงเวลาห้ามโอนเป็นโมฆะ ผู้รับโอนไม่มีสิทธิแม้จะครอบครองภายหลัง
ก่อนยื่นคำแก้ฎีกาของโจทก์ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับไว้แล้ว จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกย. ภริยาจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นทายาทของจำเลยที่ 1 และมีภูมิลำเนาแห่งเดียวกันกับจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะทนายจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทนายของย.แถลงรับว่าย.เป็นทายาทของจำเลยที่ 1 จริง และขอยื่นคำแก้ฎีกาต่อไปศาลชั้นต้นอนุญาตให้ย.เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1ผู้มรณะ ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์แล้วคดีจึงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นย่อมไม่มีอำนาจสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ย.เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบแต่เมื่อศาลชั้นต้นสอบทนายจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นทนายของย.แล้วฟังข้อเท็จจริงว่าย. เป็นทายาทของจำเลยที่ 1 ผู้มรณะ และจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายแล้วทั้งโจทก์ก็เป็นฝ่ายที่ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายเรียก ย.ซึ่งเป็นทายาทของจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะเองโดยไม่คัดค้านการเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ดังกล่าว ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งตั้งย. เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะต่อไป ขณะที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินที่พิพาทให้แก่ค. ที่ดินดังกล่าวยังอยู่ในระยะเวลาห้ามโอนภายใน 10 ปี ตามกฎหมายแม้ตามสัญญาซื้อขายจะมีข้อความระบุว่า จำเลยที่ 1พร้อมจะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อในเมื่อผู้ซื้อเรียกร้องได้ทุกเวลา และมีข้อความว่าจำเลยที่ 1 ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)ให้แก่ผู้ซื้อแล้วก็ตาม แต่ก็เห็นได้ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่าง ค.กับจำเลยที่ 1ทั้งสองฝ่ายมุ่งประสงค์ที่จะโอนสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวพร้อมหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินนั้น (น.ส.3 ก.)ให้แก่กัน ข้อความที่ระบุดังกล่าวระบุไว้เพื่อ หลีกเลี่ยงข้อกำหนดห้ามโอนดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น นิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามคำฟ้องระหว่างค.กับจำเลยที่ 1จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดย กฎหมาย ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 ย่อมไม่มีผลบังคับ จึงต้องถือว่า ค.ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 อยู่ตลอดเวลา แม้ค. จะครอบครองที่ดินดังกล่าวมานานเพียงใด ก็ไม่ได้สิทธิครอบครองดังนั้น แม้โจทก์จะซื้อที่ดินพิพาทจากค. และรับโอนการครอบครองที่ดินดังกล่าวมาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 10 ปี ที่กฎหมายห้ามโอนแล้วก็ตาม แต่เมื่อค. ผู้โอนไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินนั้นโจทก์ผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีไปกว่า สิทธิที่ค.ผู้โอนมีอยู่ โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินตามคำฟ้อง และต้องฟังว่าโจทก์ครอบครองที่ดินดังกล่าว แทนจำเลยที่ 1 โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 ตลอดมาและโจทก์มิได้บรรยายในคำฟ้องให้ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองโดยบอกกล่าว ไปยังจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 คำฟ้องของโจทก์จึง ไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2228/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินที่ขัดต่อกฎหมายห้ามโอน และผลกระทบต่อสิทธิครอบครองของผู้รับโอน
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์แล้ว คดีจึงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ ย.เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบ แต่เมื่อศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงแล้วฟังว่า ย.เป็นทายาทของจำเลยที่ 1 ผู้มรณะ และจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายแล้วจริง ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งตั้ง ย.เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะต่อไป
จำเลยที่ 1 ขายที่ดินที่พิพาทให้แก่ ค.ในระยะเวลาห้ามโอนภายใน 10 ปี ตามกฎหมาย แม้ตามสัญญาซื้อขายจะมีข้อความระบุว่า จำเลยที่ 1พร้อมจะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อในเมื่อผู้ซื้อเรียกร้องได้ทุกเวลา และมีข้อความว่าจำเลยที่ 1 ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ให้แก่ผู้ซื้อแล้วก็ตามแต่ก็เห็นได้ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่าง ค.กับจำเลยที่ 1 ทั้งสองฝ่ายมุ่งประสงค์ที่จะโอนสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวพร้อมหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินนั้น (น.ส.3 ก.) ให้แก่กัน ข้อความดังกล่าวระบุไว้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกำหนดห้ามโอน นิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามคำฟ้องระหว่าง ค.กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะตามป.พ.พ.มาตรา 150 ย่อมไม่มีผลบังคับ จึงต้องถือว่า ค.ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 อยู่ตลอดเวลา แม้ ค.จะครอบครองที่ดินดังกล่าวมานานเพียงใด ก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง ดังนั้น แม้โจทก์จะซื้อที่ดินพิพาทจาก ค.และรับโอนการครอบครองที่ดินดังกล่าวมาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 10 ปี ที่กฎหมายห้ามโอนแล้วก็ตาม แต่เมื่อค.ผู้โอนไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินนั้น โจทก์ผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีไปกว่าสิทธิที่ ค.ผู้โอนมีอยู่ โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินตามคำฟ้อง และต้องฟังว่าโจทก์ครอบครองที่ดินดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1
โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 ตลอดมาและโจทก์มิได้บรรยายในคำฟ้องให้ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 คำฟ้องของโจทก์จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าว
จำเลยที่ 1 ขายที่ดินที่พิพาทให้แก่ ค.ในระยะเวลาห้ามโอนภายใน 10 ปี ตามกฎหมาย แม้ตามสัญญาซื้อขายจะมีข้อความระบุว่า จำเลยที่ 1พร้อมจะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อในเมื่อผู้ซื้อเรียกร้องได้ทุกเวลา และมีข้อความว่าจำเลยที่ 1 ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ให้แก่ผู้ซื้อแล้วก็ตามแต่ก็เห็นได้ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่าง ค.กับจำเลยที่ 1 ทั้งสองฝ่ายมุ่งประสงค์ที่จะโอนสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวพร้อมหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินนั้น (น.ส.3 ก.) ให้แก่กัน ข้อความดังกล่าวระบุไว้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกำหนดห้ามโอน นิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามคำฟ้องระหว่าง ค.กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะตามป.พ.พ.มาตรา 150 ย่อมไม่มีผลบังคับ จึงต้องถือว่า ค.ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 อยู่ตลอดเวลา แม้ ค.จะครอบครองที่ดินดังกล่าวมานานเพียงใด ก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง ดังนั้น แม้โจทก์จะซื้อที่ดินพิพาทจาก ค.และรับโอนการครอบครองที่ดินดังกล่าวมาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 10 ปี ที่กฎหมายห้ามโอนแล้วก็ตาม แต่เมื่อค.ผู้โอนไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินนั้น โจทก์ผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีไปกว่าสิทธิที่ ค.ผู้โอนมีอยู่ โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินตามคำฟ้อง และต้องฟังว่าโจทก์ครอบครองที่ดินดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1
โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 ตลอดมาและโจทก์มิได้บรรยายในคำฟ้องให้ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 คำฟ้องของโจทก์จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2141/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การก่อสร้างรุกล้ำที่ดินของผู้อื่น โดยประมาทเลินเล่อและทุจริต เจ้าของที่ดินมีสิทธิเรียกร้องให้รื้อถอนได้
ที่ดินของโจทก์และของจำเลยที่ 1 อยู่ติดกันเป็นที่ดินว่างเปล่า ไม่มีรั้วหรือเครื่องหมายแสดงแนวเขตไว้การที่จำเลยทั้งสองปลูกสร้างอาคารพิพาทลงในที่ดินของ จำเลยที่ 1 โดยเพิกเฉยไม่ตรวจสอบแนวเขตที่ดินด้านที่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ให้แน่นอนเสียก่อน จึงเป็นการ กระทำที่ส่อแสดงถึงความไม่รอบคอบและประมาทเลินเล่อ นอกจากนี้ในการยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างอาคารพิพาทต่อเทศบาล ก็ไม่ปรากฏหลักฐานสำเนาโฉนดที่ดินและบัตรประจำตัวประชาชน คงมีแต่หนังสือให้ความยินยอมให้ก่อสร้างของโจทก์ซึ่งเป็น เจ้าของที่ดินข้างเคียงเท่านั้น ซึ่งปรากฏว่าลายมือชื่อ ของโจทก์เป็นลายมือชื่อปลอมพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า จำเลยทั้งสองรู้หรือควรจะรู้แต่ต้นแล้วว่าอาคารพิพาท รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสอง ก่อสร้างอาคารพิพาทรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต โจทก์จึงมีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารพิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2013/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับประกันภัยและรับผิดร่วมกันในความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
ศาลชั้นต้นระบุในคำพิพากษาว่าจำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา และมิได้ระบุว่าได้มีการ ชี้สองสถานและกำหนดหน้าที่นำสืบไว้ ซึ่งตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การของ จำเลยที่ 5 ไว้ และได้ชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความโต้เถียงกันทุกประเด็น ข้อผิดหลงดังกล่าวเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นระบุรายการแห่งคดีไม่ถูกต้องครบถ้วนเท่านั้น มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยให้เหตุผลในประเด็น แห่งคดีให้ครบถ้วนตามประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความโต้แย้งกันไม่ จึงไม่เป็นข้อสาระสำคัญแห่งคดีที่จะทำให้ผลแห่ง คำพิพากษาเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น เมื่อความข้อนี้ปรากฏในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้ไขใหม่ให้ถูกต้องได้เพราะมิใช่การแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในเหตุผลแห่งคำวินิจฉัย และเมื่อศาลอุทธรณ์ได้แก้ไขข้อผิดหลงดังกล่าวให้ถูกต้องแล้ว จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่อีก
เหตุรถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 6 ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แม้ทั้งสองฝ่ายจะมิได้มีเจตนาหรือจงใจร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อได้ก่อความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 6 ล้วนมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าวด้วยกันทั้งหมด และเป็นความเสียหายเดียวกัน ผู้ทำละเมิดทุกคนต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 301 ประกอบ มาตรา 291 จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุน ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายทั้งหมดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยคนอื่น ๆ อย่างลูกหนี้ร่วม
เหตุรถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 6 ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แม้ทั้งสองฝ่ายจะมิได้มีเจตนาหรือจงใจร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อได้ก่อความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 6 ล้วนมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าวด้วยกันทั้งหมด และเป็นความเสียหายเดียวกัน ผู้ทำละเมิดทุกคนต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 301 ประกอบ มาตรา 291 จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุน ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายทั้งหมดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยคนอื่น ๆ อย่างลูกหนี้ร่วม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1943/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกวดราคา: การยื่นซองใหม่ทำให้ราคายื่นเดิมสิ้นผล ระยะเวลาผูกพันเริ่มนับจากวันยื่นซองใหม่ ผู้เสนอราคาต้องทำสัญญาตามกำหนด
โจทก์เข้ายื่นซองประกวดราคาจ้างก่อสร้างอาคารตามข้อเสนอและเงื่อนไขที่จำเลยกำหนด โจทก์จึงต้องผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดดังกล่าวตามระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ และตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้มีข้อตกลงให้มีการยื่นซองประกวดเฉพาะราคาใหม่ได้ แสดงให้เห็นถึงความประสงค์ของคู่สัญญาว่าหากมีการยื่นซองประกวดเฉพาะราคาใหม่ตามข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ราคาที่ผู้ยื่นซองประกวดราคายื่นเสนอไว้เดิมเป็นอันยกเลิกกันไปและต้องถือราคาตามที่ได้มีการเสนอราคาใหม่นั้น ส่วนระยะเวลาการยืนราคาที่เสนอใหม่ยังคงเป็นไปตามข้อตกลงเดิมคือต้องยืนราคาไว้ 90 วัน นับแต่วันที่ได้มีการยื่นซองประกวดราคาใหม่โจทก์ยื่นซองประกวดเฉพาะราคาใหม่ วันที่ 7 ธันวาคม2536 ระยะเวลา 90 วัน จึงต้องนับแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไปเมื่อจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ไปทำสัญญาจ้างและโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2537 จึงไม่เกินกำหนดระยะเวลาที่โจทก์จะต้องผูกพันตามราคาที่ยืนไว้ตามข้อตกลง เมื่อโจทก์ไม่ไปทำสัญญาจ้างตามกำหนด โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยตามข้อตกลงในการยื่นซองประกวดราคาจ้างก่อสร้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1943/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อผูกพันตามสัญญาประกวดราคา: ผลของการยื่นซองประกวดราคาใหม่และการกำหนดระยะเวลาผูกพัน
โจทก์เข้ายื่นซองประกวดราคาจ้างก่อสร้างอาคารตามข้อเสนอและเงื่อนไขที่จำเลยกำหนด โจทก์จึงต้องผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดดังกล่าวตามระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ และตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้มีข้อตกลงให้มีการยื่นซองประกวดเฉพาะราคาใหม่ได้ แสดงให้เห็นถึงความประสงค์ของคู่สัญญาว่าหากมีการยื่นซองประกวดเฉพาะราคาใหม่ตามข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ราคาที่ผู้ยื่นซองประกวดราคายื่นเสนอไว้เดิมเป็นอันยกเลิกกันไปและต้องถือราคาตามที่ได้มีการเสนอราคาใหม่นั้น ส่วนระยะเวลาการยืนราคาที่เสนอใหม่ยังคงเป็นไปตามข้อตกลงเดิมคือต้องยืนราคาไว้ 90 วัน นับแต่วันที่ได้มีการยื่นซองประกวดราคาใหม่ โจทก์ยื่นซองประกวดเฉพาะราคาใหม่วันที่ 7 ธันวาคม 2536 ระยะเวลา 90 วัน จึงต้องนับแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป เมื่อจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ไปทำสัญญาจ้างและโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2537 จึงไม่เกินกำหนดระยะเวลาที่โจทก์จะต้องผูกพันตามราคาที่ยืนไว้ตามข้อตกลง เมื่อโจทก์ไม่ไปทำสัญญาจ้างตามกำหนด โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยตามข้อตกลงในการยื่นซองประกวดราคาจ้างก่อสร้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1681/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ปกครองยินยอมให้ผู้เยาว์ใช้รถโดยขาดการควบคุม ย่อมถือว่ารู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด
กุญแจที่ใช้กับรถจักรยานยนต์ของกลางมีจำนวน 2 ชุดโดยชุดหนึ่งแขวนไว้ในบ้านเพื่อให้บุคคลในบ้านสามารถหยิบไปใช้ได้ ส่วนอีกชุดหนึ่งจะเก็บรักษาไว้สำหรับเมื่อกุญแจที่แขวนไว้ดังกล่าวสูญหาย และจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์สามารถนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตผู้ร้อง และส่วนใหญ่จำเลยจะนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้โดยไม่ได้บอกผู้ร้อง แสดงว่าผู้ร้องยินยอมอนุญาตให้จำเลยหยิบกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางดังกล่าวไปใช้ได้ตลอดเวลาตามที่จำเลยต้องการใช้ โดยไม่คำนึงถึงว่าผู้เยาว์ซึ่งอยู่ในอำนาจปกครองของตนจะนำรถจักรยานยนต์ไปใช้ในกิจการใดเมื่อจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปขับขี่แข่งขันกันในถนนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรเช่นนี้ ย่อมถือว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1681/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ยินยอมให้ผู้เยาว์ใช้รถ-รู้เห็นการกระทำผิด
กุญแจที่ใช้กับรถจักรยานยนต์ของกลางมีจำนวน 2 ชุด โดยชุดหนึ่งแขวนไว้ในบ้านเพื่อให้บุคคลในบ้านสามารถหยิบไปใช้ได้ ส่วนอีกชุดหนึ่งจะเก็บรักษาไว้สำหรับเมื่อกุญแจที่แขวนไว้ดังกล่าวสูญหาย และจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์สามารถนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตผู้ร้อง และส่วนใหญ่จำเลยจะนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้โดยไม่ได้บอกผู้ร้อง แสดงว่าผู้ร้องยินยอมอนุญาตให้จำเลยหยิบกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางดังกล่าวไปใช้ได้ตลอดเวลาตามที่จำเลยต้องการใช้ โดยไม่คำนึงถึงว่าผู้เยาว์ซึ่งอยู่ในอำนาจปกครองของตนจะนำรถจักรยานยนต์ไปใช้ในกิจการใด เมื่อจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปขับขี่แข่งขันกันในถนนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรเช่นนี้ ย่อมถือว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1679/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากข้อตกลงก่อนหย่ามีผลบังคับใช้ได้ และอำนาจศาลในการพิจารณาคดีครอบครัว
บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ. 4 นั้น มีข้อตกลงเรื่องการจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรของโจทก์และจำเลย แม้จะเป็นข้อตกลงที่ทำไว้ก่อนที่โจทก์กับจำเลยจะจดทะเบียนหย่ากันตามกฎหมายก็ตาม เมื่อยังไม่มีการยกเลิกย่อมมีผลใช้บังคับ เพราะไม่มีกฎหมายใดห้ามมิให้สามีภริยาทำข้อตกลงดังกล่าวไว้ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูตามข้อตกลงในเอกสารหมาย จ. 4
โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 3 มิถุนายน 2539 ซึ่งในขณะนั้นมีคำวินิจฉัยของประธานศาลฎีกาที่ 3/2535 และ 7/2537 ที่วินิจฉัยว่า คดีดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว ดังนั้นขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งกรุงเทพใต้จึงมีอำนาจที่จะรับคดีของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาได้ แม้ว่าต่อมาระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้จะมีคำวินิจฉัยของประธานศาลฎีกาที่ 3/2540 และ 4/2540 วินิจฉัยว่าคดีประเภทเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวก็ตาม ก็ไม่ทำให้อำนาจในการรับฟ้องและการพิจารณาพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ที่ชอบมาตั้งแต่ต้นตามคำวินิจฉัยของประธานศาลฎีกาเดิมนั้นเสียไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และเมื่อประธานศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีครอบครัวดังวินิจฉัยมาแล้ว ทั้งเมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏขึ้นในชั้นอุทธรณ์ก็ได้มีการโอนคดีของโจทก์ไปยังศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวฯ พ.ศ. 2534 มาตรา 15 วรรคสอง จึงถือได้ว่าการพิจารณาพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 3 มิถุนายน 2539 ซึ่งในขณะนั้นมีคำวินิจฉัยของประธานศาลฎีกาที่ 3/2535 และ 7/2537 ที่วินิจฉัยว่า คดีดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว ดังนั้นขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งกรุงเทพใต้จึงมีอำนาจที่จะรับคดีของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาได้ แม้ว่าต่อมาระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้จะมีคำวินิจฉัยของประธานศาลฎีกาที่ 3/2540 และ 4/2540 วินิจฉัยว่าคดีประเภทเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวก็ตาม ก็ไม่ทำให้อำนาจในการรับฟ้องและการพิจารณาพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ที่ชอบมาตั้งแต่ต้นตามคำวินิจฉัยของประธานศาลฎีกาเดิมนั้นเสียไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และเมื่อประธานศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีครอบครัวดังวินิจฉัยมาแล้ว ทั้งเมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏขึ้นในชั้นอุทธรณ์ก็ได้มีการโอนคดีของโจทก์ไปยังศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวฯ พ.ศ. 2534 มาตรา 15 วรรคสอง จึงถือได้ว่าการพิจารณาพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว