คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมคิด ไตรโสรัส

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 981 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2514/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดี: ศาลต้องไต่สวนข้อเท็จจริงก่อนมีคำสั่ง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่มีใจความสรุปว่า ในวันนัดสืบพยาน ทนายจำเลยมาศาลเวลา 8.30 นาฬิกา ได้ตรวจสอบวันนัดกับเวลานัดของศาลซึ่งเป็นใบลอยติดไว้ที่หน้าศาล ปรากฏว่าคดีนี้ศาลนัดเป็นเวลา 13.30 นาฬิกาทนายจำเลยได้ไปตรวจสอบที่ศูนย์หน้าบัลลังก์ ก็ปรากฏว่าตรงกันคือเวลา 13.30นาฬิกา เพื่อความแน่ใจทนายจำเลยจึงไปสอบถามเกี่ยวกับบัลลังก์ว่าคดีดังกล่าวจะพิจารณาที่บัลลังก์ใด ปรากฏว่าเป็นบัลลังก์ที่ 40 และได้ไปนั่งรออยู่หน้าบัลลังก์ดังกล่าวระหว่างนั้น ล.เสมียนพิมพ์ดีดของบัลลังก์ที่ 40 ได้เข้ามาที่บัลลังก์ที่ 40 จึงได้สอบถามล.ได้ไปสอบถาม ธ.เสมียนหน้าบัลลังก์ที่ 40 ได้ตรวจสอบแล้วให้ ล.มาบอกทนายจำเลยว่าคดีนี้นัดตอนบ่าย ทนายจำเลยได้รออยู่จนเวลา 9.05 นาฬิกา จึงออกไปนอกศาลและกลับมาเวลา 13.30 นาฬิกา ปรากฏว่าศาลดำเนินกระบวนพิจารณาไปแล้วในตอนเช้า ดังนี้หากเป็นจริงดังทนายจำเลยอ้าง จำเลยก็มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นควรไต่สวนให้ได้ความเสียก่อนว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่ทนายจำเลยกล่าวอ้างหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ทำการไต่สวนนั้นเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดิน เจ้าของรวมไม่ยินยอม สัญญาไม่ผูกพัน การรุกล้ำที่ดินและประเด็นนอกประเด็น
ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าจำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินโจทก์โดยสุจริต ประเด็นข้อนี้จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 323 ซึ่งเดิมโจทก์และ จ. เป็นเจ้าของร่วมกัน ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งแยก โจทก์ได้ด้านทิศเหนือคือที่ดินพิพาท ส่วน จ. ได้ด้านทิศใต้ จ. และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 323 ทั้งแปลงโดยสัญญาจะซื้อจะขายระบุเนื้อที่และที่ตั้งของที่ดินพิพาทไว้ อันเป็นการซื้อขายตัวทรัพย์ มิใช่เป็นการขายกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของ จ. เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมมิได้ยินยอมจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทด้วย สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ โจทก์ยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1361 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินโฉนดโดยเจ้าของรวมต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน การวินิจฉัยนอกประเด็นของศาลอุทธรณ์
ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าจำเลยที่1ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินโจทก์โดยสุจริตประเด็นข้อนี้จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนการที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่323ซึ่งเดิมโจทก์และ จ. เป็นเจ้าของร่วมกันต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งแยกโจทก์ได้ด้านทิศเหนือคือที่ดินพิพาทส่วน จ. ได้ด้านทิศใต้ จ.และจำเลยที่2ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่323ทั้งแปลงโดยสัญญาจะซื้อจะขายระบุเนื้อที่และที่ตั้งของที่ดินพิพาทไว้อันเป็นการซื้อขายตัวทรัพย์มิใช่เป็นการขายกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของ จ. เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมมิได้ยินยอมจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทด้วยสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์โจทก์ยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1361วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2437/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องทางเดินผ่านที่ดินแปลงแยก: โจทก์มีสิทธิเฉพาะบนที่ดินที่แบ่งแยกเท่านั้น ไม่รวมที่ดินเดิมที่ไม่ถูกแบ่งแยก
เดิมที่ดินของโจทก์จำเลยที่1และที่3เป็นที่ดินแปลงเดียวกันที่ดินแปลงดังกล่าวมีทางออกไปสู่ทางสาธารณะต่อมาที่ดินแปลงดังกล่าวถูกแบ่งแยกจนเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงที่ตกเป็นของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินผ่านไปออกทางสาธารณะได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1350 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่1และที่3เปิดทางเดินผ่านไปออกทางสาธารณะซึ่งจะต้องผ่านที่ดินอีกแปลงหนึ่งของจำเลยที่1ซึ่งไม่ได้แบ่งแยกจากที่ดินพิพาทกรณีไม่ต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1350โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่1และที่3ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2437/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องทางเดินเมื่อที่ดินถูกแบ่งแยก: สิทธิมีเฉพาะที่ดินที่ถูกแบ่งแยกเท่านั้น
เดิมที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นที่ดินแปลงเดียวกันที่ดินแปลงดังกล่าวมีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ ต่อมาที่ดินแปลงดังกล่าวถูกแบ่งแยกจนเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงที่ตกเป็นของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินผ่านไปออกทางสาธารณะได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 เปิดทางเดินผ่านไปออกทางสาธารณะซึ่งจะต้องผ่านที่ดินอีกแปลงหนึ่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้แบ่งแยกจากที่ดินพิพาท กรณีไม่ต้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1และที่ 3 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2425/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิดและการรับประกันภัย: การกำหนดระยะเวลาฟ้องร้องและการรับผิดของจำเลยแต่ละราย
จำเลยขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาว่าเป็นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายและสั่งอนุญาตได้หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ การที่ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องของจำเลยแต่เพียงว่า สำเนาให้โจทก์รวมสั่งในอุทธรณ์ และสั่งในอุทธรณ์ว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดรับเป็นอุทธรณ์ของจำเลยแม้ศาลชั้นต้นจะมิได้สั่งอนุญาต แต่การที่สั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย พออนุโลมได้ว่าศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้แล้ว โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของบริษัทอ. ซึ่งโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยโจทก์เสียค่าซ่อมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แทนผู้เอาประกันภัยไปแล้ว จึงรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างและจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัย เป็นการฟ้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดในมูลละเมิด เมื่อโจทก์ฟ้องโดยเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยที่มีต่อจำเลยที่ 1และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 จึงมีสิทธิเท่ากับสิทธิของผู้เอาประกันภัยมีอยู่โดยมูลหนี้ตามมาตรา 226 วรรคแรก ฉะนั้น เมื่อผู้เอาประกันภัยต้องฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 448 วรรคแรกโจทก์ก็ต้องฟ้องภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวด้วย โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย ไม่ได้ฟ้องให้รับผิดในฐานะผู้ทำละเมิด จำเลยที่ 3 จะยกอายุความเรื่องละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448มาปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ เมื่อความรับผิดของจำเลยที่ 3เกิดขึ้นตามสัญญาประกันภัยจึงต้องนำอายุความตามมาตรา 882 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีกำหนด 2 ปี นับแต่วันเกิดวินาศภัยมาปรับแก่คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2425/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีละเมิดและการรับประกันภัย: การรับช่วงสิทธิและข้อยกเว้นอายุความ
จำเลยทั้งสามขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาศาลชั้นต้นต้องพิจารณาว่าเป็นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายและสั่งอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้หรือไม่การที่ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาของจำเลยทั้งสามว่าสำเนาให้โจทก์รวมสั่งในอุทธรณ์และสั่งในอุทธรณ์ว่าจำเลยยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดรับเป็นอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามโดยมิได้สั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสามอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาก็พออนุโลมได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาโดยตรงต่อศาลฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา223ทวิวรรคแรกแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์โดยให้จำเลยที่1รับผิดในฐานะผู้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่2และจำเลยที่3ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่2จึงต้องฟ้องจำเลยที่1และที่2ภายใน1ปีนับแต่วันที่ผู้เอาประกันภัยรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา448วรรคแรกมิฉะนั้นคดีขาดอายุความส่วนความรับผิดของจำเลยที่3นั้นเกิดขึ้นตามสัญญาประกันภัยจึงต้องนำอายุความ2ปีนับแต่วันเกิดวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา882วรรคหนึ่งมาปรับแก่คดีเมื่อโจทก์ฟ้องยังไม่พ้นกำหนด2ปีนับแต่วันเกิดวินาศภัยคดีเกี่ยวกับจำเลยที่3จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2398/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คุณสมบัติกรรมการอ้อยและน้ำตาล, การประชุมแทน, และอำนาจคณะกรรมการ
พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลพ.ศ.2427มาตรา11กำหนดให้ผู้แทนชาวไร่อ้อยและผู้แทนโรงงานเท่านั้นที่จะต้องไม่เป็นข้าราชการการเมืองหรือดำรงตำแหน่งในทางการเมืองส่วนข้าราชการในกระทรวงอุตสาหกรรมที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมแต่งตั้งตามมาตรา9ไม่มีข้อห้ามเหมือนกับมาตรา11ฉะนั้นแม้ข้าราชการดังกล่าวจะเป็นวุฒิสมาชิกก็ไม่ขาดคุณสมบัติไม่ขัดต่อกฎหมาย กรรมการในคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลบางส่วนเป็นกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งโดยตำแหน่งหน้าที่ราชการเมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการดังกล่าวไม่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องมาประชุมด้วยตนเองและไม่มีกฎหมายห้ามมิให้แต่งตั้งผู้อื่นปฏิบัติหน้าที่แทนกรรมการดังกล่าวย่อมจะมอบหมายให้ข้าราชการในกระทรวงที่ตนสังกัดอยู่ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยเข้าประชุมแทนในฐานะผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรมและผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ได้การประชุมที่มีผู้มาประชุมแทนดังกล่าวจึงชอบด้วยพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลพ.ศ.2527มาตรา15 คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาบทรายมีอำนาจตั้งคณะกรรมการบริหารได้ตามมาตรา20และมีอำนาจตั้งคณะกรรมการน้ำตาลทราบได้ตามมาตรา41ส่วนการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษากฎหมายก็เพื่อให้คณะที่ปรึกษากฎหมายให้ความเห็นประกอบการพิจารณาเท่านั้นการตั้งคณะที่ปรึกษากฎหมายจึงไม่ขัดกฎหมายใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2398/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คุณสมบัติกรรมการอ้อยและน้ำตาล: ข้าราชการ-ผู้แทนฯ การมอบอำนาจประชุม และการตั้งคณะกรรมการ
พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาล พ.ศ. 2427 มาตรา 11 กำหนดให้ผู้แทนชาวไร่อ้อยและผู้แทนโรงงานเท่านั้นที่จะต้องไม่เป็นข้าราชการการเมืองหรือดำรงตำแหน่งในทางการเมือง ส่วนข้าราชการในกระทรวงอุตสาหกรรมที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมแต่งตั้งตามมาตรา 9 ไม่มีข้อห้ามเหมือนกับมาตรา 11 ฉะนั้น แม้ข้าราชการดังกล่าวจะเป็นวุฒิสมาชิกก็ไม่ขาดคุณสมบัติ ไม่ขัดต่อกฎหมาย
กรรมการในคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลบางส่วนเป็นกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งโดยตำแหน่งหน้าที่ราชการ เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการดังกล่าวไม่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องมาประชุมด้วยตนเองและไม่มีกฎหมายห้ามมิให้แต่งตั้งผู้อื่นปฏิบัติหน้าที่แทน กรรมการดังกล่าวย่อมจะมอบหมายให้ข้าราชการในกระทรวงที่ตนสังกัดอยู่ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยเข้าประชุมแทนในฐานะผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ได้ การประชุมที่มีผู้มาประชุมแทนดังกล่าวจึงชอบด้วย พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาล พ.ศ.2527 มาตรา 15
คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายมีอำนาจตั้งคณะกรรมการบริหารได้ตามมาตรา 20 และมีอำนาจตั้งคณะกรรมการน้ำตาลทรายได้ตามมาตรา41 ส่วนการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษากฎหมายก็เพื่อให้คณะที่ปรึกษากฎหมายให้ความเห็นประกอบการพิจารณาเท่านั้น การตั้งคณะที่ปรึกษากฎหมายจึงไม่ขัดกฎหมายใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2358/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานที่ไม่ได้รับการถามค้าน: กรณีผู้เสียหายไม่มาเบิกความหลังเสนอเงินชดใช้
ศาลชั้นต้นสืบพยานปากผู้เสียหายจนถึงเวลา12นาฬิกาแล้วให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อนัดหน้าแต่นัดต่อมาผู้เสียหายไม่มาศาลซึ่งโจทก์ได้แถลงว่าก่อนที่จำเลยที่1จะได้รับประกันตัวไปจำเลยทั้งสามเคยเสนอให้เงินแก่ผู้เสียหายแต่ตกลงกันไม่ได้ต่อมาเมื่อจำเลยที่1ได้รับประกันตัวไปผู้เสียหายและมารดาไม่ยอมรับหมายเรียกอีกเข้าใจว่าได้รับเงินจากฝ่ายจำเลยและมีข้อตกลงว่าจะไม่ยอมมาเบิกความที่ศาลจำเลยทั้งสามมิได้แถลงคัดค้านว่าไม่เป็นความจริงและศาลมีคำสั่ง งดสืบพยานโจทก์ปากผู้เสียหายดังนี้เมื่อการไม่สามารถนำตัวผู้เสียหายมาเบิกความไม่ใช่ความผิดของโจทก์ทั้งผู้เสียหายได้เบิกความต่อศาลแล้วย่อมรับฟังได้ส่วนการที่จำเลยทั้งสาม ไม่ได้ ถามค้านจะทำให้พยานโจทก์ปากผู้เสียหายมีน้ำหนักน่าเชื่อเพียงใดหรือไม่เป็นเรื่องที่จะได้พิจารณาชั่งน้ำหนักต่อไป
of 99